CIVIL รับต้นทุนพุ่งกดกำไร Q1/65 หดแม้รายได้โต เดินหน้าปรับกลยุทธ์ดันผลงานฟื้น

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีวิลเอนจีเนียริง (CIVIL) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้รวม 1,649.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,186.82 ล้านบาท จำนวน 462.60 ล้านบาท หรือ 38.98% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 40.31 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 69.15 ล้านบาท จำนวน 28.84 ล้านบาท หรือ 41.71% ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/64 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17.82 ล้านบาท หรือ 79.24%

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากงานรับเหมาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ อาทิ งานก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง, งานก่อสร้างทางหลวง และ งานก่อสร้างสนามบิน โดยบริษัทมีการทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการบริหารจัดการโครงการที่ดี ทำให้สามารถส่งมอบงานได้รวดเร็ว และรับรู้รายได้ภายในกรอบระยะเวลาของสัญญาโครงการ

ส่วนกำไรสุทธิที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากราคาต้นทุนด้านวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาเหล็ก คอนกรีต และราคาน้ำมัน ซึ่งส่งกระทบเป็นวงการต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง อีกทั้งงานก่อสร้างที่ดำเนินการช่วงไตรมาส 1/65 เป็นงานที่มีมาร์จิ้นไม่สูงมาก

นายปิยะดิษฐ์ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจก่อสร้างในปีนี้ยังคงได้รับผลกระจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามสถานการณ์เงินเฟ้อและพลังงานในตลาดโลก และคาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีแรงกดดันจากต้นทุนแรงงานเข้ามาเพิ่มเติม ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการทุกรายในภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัว ทั้งในด้านการบริหารต้นทุน การบริหารงานก่อสร้างอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยในงานก่อสร้าง อีกทั้งมีการติดตามแผนงานก่อสร้าง และราคาวัสดุอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย โดยอัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 2.44% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/64 ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 1.69%

ด้านทิศทางการดำเนินงานในไตรมาส 2/65 บริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้าง พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดี อีกทั้งบริษัทมีความมุ่งมั่นในการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารงานก่อสร้างให้มีความรวดเร็วและปลอดภัย ด้วยการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อให้งานในมือแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว มีคุณภาพสูง และบริหารจัดการ Supply Chain เพื่อลดความผันผวนของราคาต้นทุนที่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้บริษัทมีความพร้อมในการเข้ารับงานใหม่ทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์, โครงการขนาดใหญ่โดยการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) รวมถึงการเจรจากับพันธมิตรภาคเอกชนรายใหม่ที่จะช่วยสร้าง New S-Curve เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท และเพิ่มมูลค่างานในมือ (Backlog) ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 15,000-20,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมืออยู่ที่ 14,200 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 มี.ค.65) ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึงปี 67

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top