DUSIT ใช้เงิน 284 ลบ.เข้าลงทุนธุรกิจเบเกอรี่ในไทย-จีน 2 แห่ง

บมจ.ดุสิตธานี (DUSIT) โดยบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด (DF) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ที่บริษัทถือหุ้น 99.99% ร่วมกับ Goldway Enterprises Hong Kong Limited (GEHK) ร่วมตั้งบริษัทร่วมทุนคือ บริษัท บองชูร์เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด (BJBA) เพื่อเข้าลงทุนธุรกิจผลิตและจำหน่ายเบเกอรี่ในประเทศไทยและประเทศจีนภายใต้แบรนด์ “บองชู” “Bonjour” “Baujour”

ทั้งนี้ บริษัท บองชูร์เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด (BJBA) จะเข้าซื้อหุ้นทั้งหมด ในบริษัทดังต่อไปนี้

– บริษัท บองชู จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจจำหน่ายเบเกอรี่และธุรกิจแฟรนไชส์

– บริษัท พอร์ต รอยัล จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตเบเกอรี่ โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดระยองและ

– BAKEIP Limited ซึ่งประกอบธุรกิจอนุญาตให้ใช้สิทธิทางทรัพย์สินปัญญาจาก GEHK

นอกจากนี้ DF จะเข้าลงทุนและซื้อหุ้นโดยตรงใน Baujour International Co Limited (HK Co) เป็นจำนวน 55% ของจำนวนหุ้นท้งหมดของ HK Co ซึ่งประกอบธุรกิจจำหน่ายเบเกอรี่และแฟรนไชส์ในเอเชีย จาก GEHK ซึ่ง BJBA และ DF ได้ลงนามในสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 โดยมีมูลค่าการลงทุน ท้งสิ้นประมาณ 284,470,685 บาท

DUSIT ระบุว่าการเข้าลงทุนใน BJBA และ HK Co เป็นไปตามกลยุทธ์หลักในการกระจายการลงทุน สร้างการเติบโตและสร้างสมดุลของกลุ่มดุสิต เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าเบเกอรี่ เพื่อใช้ในกลุ่มธุรกิจอาหารของดุสิตธานีในประเทศไทยและต่างประเทศ และขยายฐานธุรกิจค้าปลีกสินค้าเบเกอรี่ เพิ่มความหลากหลายของสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มหลัก และกลุ่มใหม่ๆ ที่สนใจสินค้าคุณภาพในราคาที่เอื้อมถึงมากขึ้น โดยมีแผนขยายสาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ

ในปัจจุบัน BJBA มีทุนจดทะเบียนจำนวน 4,900,000 บาท แบ่งเป็น 49,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เป็นหุ้นที่ชำระแล้ว 100% ของทุนจดทะเบียนท้งหมดของบริษัท ซึ่งถือหุ้นโดย DF เท่ากับ 99.99% และในวันที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ (Completion Date) (ตามที่ได้นิยามไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้น) BJBA จะดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนให้ทุนจดทะเบียนทั้งหมดของ BJBA เป็นจำนวน 516,719,400 บาท แบ่งเป็นหุ้นทั้งหมด จำนวน 5,167,194 หุ้น โดย DF จะถือหุ้น 55% และ GEHK จะถือหุ้น 45% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดของ BJBA

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าขยายความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหารอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัท ดุสิตฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่กลุ่มดุสิตธานีถือหุ้น 99.99% ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อหุ้น 55% ในบริษัท พอร์ต รอยัล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเบเกอรี่ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องจักรอุตสาหกรรมที่ดีและทันสมัยที่สุดที่นำเข้าจากประเทศชั้นนำในยุโรป ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง

การลงทุนครั้งนี้จะครอบคลุมแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) ซึ่งปัจจุบันมีสาขาในประเทศไทยกว่า 50 แห่ง รวมถึงในประเทศจีนอีก 1 แห่ง ซึ่งนอกเหนือจากการเข้าลงทุนในกิจการดังกล่าวแล้ว ดุสิตฟูดส์ ยังจะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งคู่ ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ภายใต้ชื่อ “บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด” เพื่อแสวงหาโอกาสในการเติบโตและขยายกิจการร่วมกัน

“หลังจากที่กลุ่มดุสิตธานีประสบความสำเร็จจากการสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF จนกระทั่งบริษัทเติบโตและสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และกลุ่มดุสิตธานีจึงได้ตัดสินใจขายเงินลงทุนทั้งหมดและรับรู้ผลกำไรจากการลงทุนเรียบร้อยแล้ว ทำให้ภาพจิ๊กซอว์ของกลุ่มธุรกิจอาหารยังขาดในส่วนของโรงงานผลิต ที่จะเข้ามาช่วยสร้างมาตรฐานสินค้าและควบคุมต้นทุนธุรกิจอาหารให้เรา ดังนั้น เราจึงเห็นโอกาสอันดีในการที่จะเข้าลงทุนในสายการผลิตอีกครั้ง เพื่อเสริมและเติมเต็มธุรกิจอาหารให้กลุ่มดุสิตธานีตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำ ที่จะช่วยต่อยอดจากธุรกิจอาหารที่เรามีอยู่ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น”

 นางศุภจีกล่าว

นอกจากจะเป็นโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแล้ว จุดเด่นของ “พอร์ต รอยัล” คือทีมงานที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบกระบวนการผลิตที่ยืดหยุ่นที่สามารถปรับและเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างง่ายดาย พร้อมเครือข่ายโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพที่ครอบคลุมการขนส่งและการกระจายสินค้าแบบครบวงจรอีกด้วย

ดังนั้น การเข้าลงทุนใน “พอร์ต รอยัล” และร้านขนมอบ “บองชู” ครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยตอบโจทย์การเติบโตที่สำคัญ 3 ประการให้กับธุรกิจอาหารของกลุ่มดุสิตธานี นั่นคือ การควบคุมมาตรฐานสินค้าและต้นทุนการผลิต (Standardize products-Optimize cost) เพื่อผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐานของดุสิตธานี และดูแลควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับธุรกิจอาหารภายในกลุ่มดุสิตธานี ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจอาหารอื่นๆ ในเครือ, โอกาสในการเติบโต (Opportunity to Grow) คือการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและกระบวนการผลิตที่ทันสมัยในการพัฒนาสูตรและปรับปรุงคุณภาพของวัตถุดิบ เพื่อต่อยอดไปสู่การรับจ้างผลิต (OEM) ในรูปแบบ B2B (Business to Business) และรับรู้รายได้อย่างสม่ำเสมอ (Recurring Revenue) จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของการขยายแฟรนไชส์ของ “บองชู” ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยสร้างรายได้และผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับธุรกิจอาหาร และยังเป็นการช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ในการทำการตลาดให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม (B2C)

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนของกลุ่มดุสิตธานี ยังอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก 3 ประการที่วางไว้ คือ สร้างสมดุล สร้างการเติบโต และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยที่ผ่านมาการลงทุนในธุรกิจอาหารของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในบริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลงทุนในบริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ “เดอะ เคเทอเรอร์ส” (The Caterers) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน รวมถึงงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม ตลอดจนการผนึกความร่วมมือกับ KAUAI (คาวาอิ) ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านอาหารสุขภาพยอดนิยมจากประเทศแอฟริกาใต้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย สามารถสร้างการเติบโตให้กับพอร์ตลงทุนของกลุ่มดุสิตธานีได้อย่างน่าพอใจ

“เรายังมองเห็นโอกาสและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรากลับมาใช้ชีวิตปกติได้มากขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งการเดินทางของธุรกิจอาหารของกลุ่มดุสิตธานี ยังคงมุ่งมั่นกับการมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะเติมเต็ม ต่อยอด สร้างผลตอบแทนและสร้างโอกาสเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”

 นางศุภจี กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top