CHIC คาดเข้าเทรด mai ในก.ค.ระดมทุนขยาย-ปรับปรุงสาขา,สร้างศูนย์กระจายสินค้า

นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชิค รีพับบลิค (CHIC) คาดว่าหุ้น CHIC จะได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือน ก.ค.นี้ โดยบริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังเสนอขาย IPO

บริษัทมีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ลงทุนขยายสาขาแห่งใหม่ในจังหวัดอุดรธานี วงเงินลงทุนไม่เกิน 160 ล้านบาท เป็นอาคารสองชั้น พื้นที่ขายสินค้าประมาณ 4,500 ตารางเมตร นอกจากนี้บริษัทยังจะใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการภายในไตรมาส 1/67 รวมไปถึงจะปรับปรุงพื้นที่ให้เช่าร้านค้าภายในสาขาบางนาและสาขาราชพฤกษ์ คาดว่าจะเริ่มปรับปรุงแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้งานในช่วงไตรมาส 4/65

พร้อมกันนี้บริษัทจะนำเงินใช้คืนหนี้บางส่วน เพื่อทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจากปัจจุบันที่ 2 เท่า

“ครั้งก่อนที่ยกเลิกแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดฯไปเพราะที่ปรึกษาทางการเงินเตือนว่าภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อต่อการเข้าระดมทุน เนื่องจากมีหลายบริษัทที่เข้าเทรดแล้วราคาต่ำกว่าราคาจองซื้อ จึงได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าปรึกษากับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทจึงตัดสินใจว่าถอยดีกว่า”นายกิจจา กล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ CHIC ยื่นไฟลิ่งเวอร์ชั่นแรกตั้งแต่เดือน ธ.ค.60 แต่ภายหลังได้ถอนไฟลิ่งออกไป ก่อนจะกลับมายื่นใหม่อีกครั้งในเดือน พ.ค.64

นายกิจจา กล่าวว่า ทิศทางผลประกอบการในปี 65 คาดว่าอย่างน้อยที่สุดจะกลับไปใกล้เคียงกับปี 62 ที่มีรายได้ 781.26 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 54.44 ล้านบาท หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เบาลง ส่งผลให้รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการต่างๆ และเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ช่วยหนุนให้ภาคเอกชนกลับมาขยายการลงทุน ทั้งภาคการให้บริการ ภาคการท่องเที่ยว รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลดีต่อความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้น

ปัจจุบัน บริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้า (Backlog) ราว 201 ล้านบาท จะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด ในขณะเดียวกันยังเดินหน้าเข้าประมูลโครงการใหม่ราว 3-4 โครงการต่อเดือน คาดว่าจะได้รับงานอย่างน้อย 40-50% ของโครงการที่เข้าประมูลทั้งหมด ซึ่งบริษัทเตรียมเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น อาทิ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โรงแรม และโรงพยาบาล

นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นที่จะขยายตลาดออนไลน์ด้วยกลยุทธ์ O2O (Offline to Online และ Online to Offline) โดยปัจจุบันมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จะเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่กว่า 10% จากยอดขายรวม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มิ.ย. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top