นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า บริษัทประเมิน ปีงบประมาณ 2565 AOT คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการสนามบิน 6 แห่งรวม 45 ล้านคน ฟื้นตัว 33% และจะกลับมาฟื้นตัวเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในปีงบประมาณ 2567 ที่จำนวน 142 ล้านคน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) และ S&P Global ได้คาดการณ์ไว้
ขณะที่ปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นปีที่ 43 ของ AOT คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวมทั้ง 6 สนามบินของ AOT จำนวน 96 ล้านคน ฟื้นตัว 68% เมื่อเทียบกับระดับผู้โดยสารก่อนเกิดโควิด-19 และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในปีงบประมาณ 2567
ดังนั้น จึงถือได้ว่าในปีที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นปีที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ AOT ต้องเฝ้าระวังปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการเดินทางของผู้โดยสาร เช่น นโยบายการเปิดประเทศของจีน โอกาสการกลับมาระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือโรคระบาดอื่นๆ เป็นต้น โดยนโยบายการเปิดประเทศจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
หากจีนมีการเปิดประเทศในเดือนตุลาคม 2565 AOT จะได้ประโยชน์จากช่วงวันหยุดยาวประจำชาติจีน (Golden Week) หรือหากเปิดประเทศในเดือนมกราคม 2566 ก็จะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่หากพ้นจากช่วงนี้ไปแล้ว AOT ก็จะเสียโอกาสช่วงดังกล่าวไป ดังนั้น จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่าย เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้ด้วยกัน
นายนิตินัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 AOT สามารถรองรับผู้โดยสารได้กว่า 141.87 ล้านคน ดังนั้น ไม่ว่าปริมาณผู้โดยสารจะฟื้นตัวกลับมาในปีไหน AOT ก็ยังคงพร้อมให้บริการอยู่เสมอ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทไม่เคยลดคุณภาพการให้บริการ ไม่เคยลดจำนวนพนักงาน อีกทั้งยังคงมีการฝึกอบรมบุคลากร รวมถึงการต่อใบอนุญาตตามมาตรฐานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)ในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมของอาคารสถานที่มาโดยตลอด
AOT ยังเดินหน้าพัฒนาการให้บริการในทุกด้านให้มีประสิทธิภาพและดียิ่งขึ้น เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.)อยู่ระหว่างทดสอบระบบต่างๆ ของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) เพื่อเตรียมเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสาร ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถของ ทสภ.ในการรองรับปริมาณผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี และอยู่ระหว่างก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ซึ่งมีความก้าวหน้า 35.68% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2566 เพื่อรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้นเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และรองรับเที่ยวบินในช่วงที่มีการปิดซ่อมทางวิ่งเส้นที่ 1 และเส้นที่ 2
ส่วนที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) จะเริ่มเปิดใช้งาน Taxi Drop Lane ในเดือนกรกฎาคม 2565 ซึ่งจะเพิ่มช่องจราจรแยกเฉพาะรถแท็กซี่ จำนวน 2 เลน เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดหน้าอาคารผู้โดยสาร และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย (ทชร.) อยู่ระหว่างก่อสร้างระบบทางขับขนานด้านทิศเหนือ และปรับปรุงทางขับท้ายหลุมจอด พร้อมทางขับ A และ B โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (Maintenance, Repair and Overhaul : MRO) และปรับปรุงพื้นที่หัวทางวิ่งด้าน 03 และ 21 เป็นต้น
นอกจากการพัฒนาสนามบินที่ได้ดำเนินการตามแผนแม่บทแล้ว AOT พร้อมก้าวเข้าสู่การบริหารยุคนวัตกรรมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและการดำเนินการ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและข้อมูลมากมายที่กระจายอยู่ทั่วองค์กรมาทำการศึกษาข้อมูล นำไปวิเคราะห์โดยคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล ทำความเข้าใจให้ทุกส่วนเชื่อมโยงกัน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การบริหารจัดการและให้บริการในโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบภายใต้โครงการ AOT Digital Platform ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการด้วยความสะดวกสบาย ปลอดภัย และรวดเร็ว ทั้งด้านการเดินทางและการรับ-ส่งสินค้าทางอากาศ
นายนิตินัย กล่าวในตอนท้ายว่า จากการที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักร จึงคาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น AOT มีความมั่นใจว่าจะสามารถให้บริการและอำนวยความสะดวกผู้โดยสารด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของ AOT ในการดำเนินธุรกิจด้วยมาตรฐานเหนือระดับ สร้างมูลค่าเพิ่มและสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ สนามบิน 6 แห่งที่ AOT บริหาร ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ค. 65)
Tags: AOT, ท่าอากาศยานไทย, นิตินัย ศิริสมรรถการ, หุ้นไทย