BCP เตรียมพร้อมรับมือแรงกดดันศก.ถดถอย-เงินเฟ้อ Q3/65 เล็งออกหุ้นกู้เร่งลงทุน

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันในครึ่งปีหลังนี้จะปรับลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันได้รับแรงกดดันความกังวลเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างเร็วและธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดกั้นภาวะเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงติดตามและประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนธุรกิจให้เหมาะสม บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอกับการดำเนินธุรกิจและแผนการลงทุน

โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะออกและเสนอขายหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 3/65 เพื่อเตรียมพร้อมรองรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและราคาน้ำมันที่ผันผวน พร้อมทั้งเร่งการลงทุนเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ สร้างความยั่งยืนให้ทุกภาคส่วน

ด้านผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 65 ของกลุ่มบางจากฯ บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 152,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 26,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 192% โดยผลดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA เป็นบริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3/64 เป็นต้นมา

ส่วนที่เหลือปรับเพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางฟื้นตัวขึ้น ขณะที่อุปทานน้ำมันยังมีความตึงตัวจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในครึ่งแรกของปี 65 อยู่ที่ 102.17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 64 จำนวน 38.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือ 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มี Inventory Gain 8,451 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นที่ได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางกลับคืนมา ขณะที่อุปทานน้ำมันยังตึงตัวจากสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากการที่ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบอ้างอิง (Crack Spread) ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากตามกลไกราคาตลาดซึ่งเพิ่มขึ้นลดลงตามอุปสงค์และอุปทาน ส่งผลให้

ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA รวม 11,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีค่าการกลั่นพื้นฐาน (Operating GRM) ปรับเพิ่มขึ้น และโรงกลั่นบางจากฯ ยังคงอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่สูงในระดับ 122.3 พันบาร์เรลต่อวัน หรือ คิดเป็น 102% ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น

ด้านธุรกิจการค้าน้ำมัน โดย BCPT ปรับตัวดีขึ้นจากกำไรต่อหน่วยของการซื้อขายผลิตภัณฑ์กลุ่มแก๊สโซลีน / แนฟทาปรับสูงขึ้น พร้อมรับรู้กำไรจากการเข้าทำสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า

กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 2,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับปัจจัยบวกจากปริมาณการจำหน่ายที่ปรับเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลายลง ในขณะที่ค่าการตลาดรวมสุทธิต่อหน่วยปรับลดลงเล็กน้อย ภายใต้ภาวะราคาน้ำมันสูง โดยบริษัทฯ ได้มีการจัดทำโครงการ ลิตรละบาท มอบคูปองส่วนลดการเติมน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด

บนหน้าหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง พร้อมทั้งมุ่งเน้นที่จะพัฒนาศักยภาพและขยายธุรกิจ Non-Oil รวมถึงเร่งเดินหน้าขยายความร่วมมือกับพันธมิตรด้านธุรกิจร้านอาหารชั้นนำ และร้านอาหารสตรีทฟู้ด เพื่อรองรับวิถีชีวิตยุคใหม่ให้ลูกค้าได้อิ่มอร่อยอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีร้านอาหารแบบเครือข่ายเปิดให้บริการเพิ่มเติมในสถานีบริการน้ำมันบางจาก

กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA รวม 4,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 3 โครงการ ได้แก่ ยาบุกิ กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ โคมากาเนะ กำลังการผลิตตามสัญญา 25 เมกะวัตต์ และชิบะ 1 กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ อีกทั้งรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. (SEGHPL) 2,031 ล้านบาท

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA รวม 437 ล้านบาท ลดลง 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้จากการขายปรับเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาขายไบโอดีเซล (B100) ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ ในขณะที่กำไรขั้นต้น ปรับลดลง โดยหลักมาจากธุรกิจไบโอดีเซลและธุรกิจเอทานอลมีปริมาณการจำหน่ายที่ปรับลดลง อีกทั้งราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปรับเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Products (HVP)) BBGI ได้เข้าลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ไบโอม จำกัด (ไบโอม) ซึ่งเป็นบริษัท Spin Off แห่งแรกของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อต่อยอดมูลค่างานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดย BBGI ได้รับสิทธิเป็นรายแรกในการนำผลงานวิจัยของไบโอมมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะงานวิจัยผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้เทคโนโลยี Synthetic Biology (ชีววิทยาสังเคราะห์) รวมถึงผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่น ๆ นอกจากนี้บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ จำกัด (BBGI ถือหุ้น 51%) ได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท วิน อินกรีเดียนส์ สิงคโปร์ ไพรเวท ลิมิเต็ด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพและให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการค้า

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 7,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,000% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้รับปัจจัยบวกจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 192 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานของ OKEA ในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา พบว่า EBITDA ปรับเพิ่มขึ้น 288% จาก

ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าโดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาดโลก อีกทั้งปริมาณจำหน่ายปรับเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากแหล่ง Gjøa และ Yme นอกจากนี้ OKEA ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อแหล่งปิโตรเลียมในทะเลเหนือ 3 แหล่ง จากบริษัท Wintershall Dea Norge AS ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสสุดท้าย และช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในปี 65 ของ OKEA อีกประมาณ 5,000 – 6,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/65 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและให้บริการ 83,796 ล้านบาท EBITDA 12,572 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 5,276 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.79 บาท โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันได้รับปัจจัยบวกจาก Operating GRM ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวช่วยบรรเทาผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาขายก๊าซธรรมชาติไปจำหน่ายในประเทศอังกฤษปรับลดลงอย่างมาก รวมทั้งการอ่อนค่าของสกุลเงินโครนนอร์เวย์ (NOK) เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ส.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top