ADB ชี้บิ๊กดาต้าสร้างรายได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 1 แสนล้านดอลล์

รายงานจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี (ADB) ระบุว่าคลังข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้า (Big data) มีศักยภาพมหาศาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว ในยุคหลังการระบาดของโรคโควิด-19 โดยสร้างประโยชน์ด้านสาธารณสุข สวัสดิการสังคมและการคุ้มครอง และการศึกษา คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.56 ล้านล้านบาท)

รายงานระบุว่า ระบบตรวจสอบระยะไกลสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายรายปีในระบบการดูแลสุขภาพของภูมิภาคถึง 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.35 แสนล้านบาท) ภายในปี 2573 ผ่านการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน้อยลง รวมทั้งการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลและขั้นตอนการรักษาที่สั้นลง ขณะการวิเคราะห์เพื่อกำกับการรักษาทางการแพทย์อย่างตรงจุดในคนกลุ่มเสี่ยง สามารถช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในภูมิภาคราว 1.55 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.53 แสนล้านบาท) ภายในปี 2573

ขณะเดียวกันการใช้สารพัดเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้เฉพาะบุคคลและทางไกล และการจับคู่ตำแหน่งงาน สามารถสร้างเงินราว 7.71 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.75 ล้านล้านบาท) ต่อปี ให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของอนุภูมิภาคภายในปี 2573

เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าขนาดเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจเพิ่มเป็น 3 เท่า แตะที่ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 10.7 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2562

ราเมช สุบรามาเนียม ผู้อำนวยการสำนักเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารฯ กล่าวว่าการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของคลังข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับการให้บริการสาธารณะที่สำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ

“เป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับเหล่าผู้กำหนดนโยบายทั่วอนุภูมิภาคที่จะช่วยปูทางแก่การประยุกต์ใช้คลังข้อมูลขนาดใหญ่ ตั้งแต่การกำกับดูแลเชิงยุทธศาสตร์จนถึงการสร้างวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” สุบรามาเนียมกล่าว

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รายงานกระตุ้นเตือนว่าการปลดปล่อยศักยภาพของคลังข้อมูลขนาดใหญ่ในด้านบริการสาธารณะ ต้องอาศัยการวางรากฐานทางยุทธศาสตร์และเทคนิคจากรัฐบาลหลายประเทศ เพื่อใช้โอกาสจากคลังข้อมูลขนาดใหญ่อย่างเต็มที่และลดทอนความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงปัญหาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การฉ้อโกง และความมั่นคงทางไซเบอร์

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top