นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการและขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 2/2565 โดยที่ประชุม กบส. มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566 – 2570 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าในอนุภูมิภาคและภูมิภาค เชื่อมโยงการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาระบบโลจิสติกส์สู่การเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมบูรณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย 5 แนวทางการพัฒนา ดังนี้
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
- การยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าโซ่อุปทาน
- การพัฒนาพิธีการศุลกากร กระบวนการนำเข้า-ส่งออกที่เกี่ยวข้อง และการอำนวยความสะดวกในการขนส่งระหว่างประเทศ
- การพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย และ
- การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร และการติดตามผลด้านโลจิสติกส์
พร้อมกันนี้ ได้กำหนดเป้าหมายในการลดสัดส่วนต้นทุนการขนส่งสินค้า และต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลังต่อ GDP และเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ด้านพิธีการศุลกากรและด้านสมรรถนะผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ทั้งภาครัฐและธุรกิจ นอกจากนี้ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ที่ประชุม กบส. ยังเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 เพื่อมอบหมายให้กรมศุลกากร เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการและพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) และกำหนดขอบเขตหน้าที่ของ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและพัฒนาระบบ NSW
ตลอดจนรับทราบสถานะการพัฒนาธุรกรรมการให้บริการนำเข้า-ส่งออก และโลจิสติกส์ ให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่าน NSW ที่ปรับลดธุรกรรมจาก 480 กระบวนงาน คงเหลือ 473 กระบวนงาน เนื่องจากกระบวนงานของกรมวิชาการเกษตรไม่ได้เป็นกระบวนงานที่ใช้ในการประกอบพิธีศุลกากรราย Shipment และปัจจุบันมีธุรกรรมที่ให้บริการผ่านระบบ NSW แล้ว 444 กระบวนงาน คิดเป็น 93.67% รวมทั้งปรับลดจำนวนหน่วยงานที่ต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านระบบ NSW จาก 37 หน่วยงาน คงเหลือ 34 หน่วยงาน เนื่องจากมี 3 หน่วยงานที่ได้เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Flight Permit Online System (FPOS) สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลการบินตามมาตรฐาน ICAO แล้ว
ที่ประชุม กบส. ยังรับทราบสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยในปี 2564 คิดเป็นสัดส่วน 13.8% ต่อ GDP ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 14.0% ต่อ GDP หรือมีมูลค่าประมาณ 2,238.8 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นคิดเป็น 1.8% ตามการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศจากการผ่อนคลายมาตรการด้านโควิด-19 และแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การส่งออกกลับมาขยายตัว สำหรับปี 2565 ต้นทุนโลจิสติกส์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยปรับลดลงอยู่ที่ 12.9-13.3% ต่อ GDP
ขณะเดียกัน ที่ประชุม กบส. ได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ กบส. 3 เรื่อง ได้แก่
- การดำเนินงานรองรับการเปิดให้บริการเส้นทางรถไฟจีนและ สปป.ลาว
- การเปิดให้เอกชนดำเนินการขนส่งสินค้าทางรถไฟ และ
- การชะลอการบังคับให้เรือชายฝั่งที่รับตู้สินค้าขาเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบังดำเนินการบรรทุกตู้สินค้าลงเรือที่ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ต.ค. 65)
Tags: การค้าระหว่างประเทศ, ขนส่งสินค้า, สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์, โลจิสติกส์