LOXLEY ทยอยปิดดีล M&A-JV พร้อมลุยชิงงานใหม่กวาดเข้า backlog หวังทะลุหมื่นลบ.

นายสุพัฒน์ กรชาลกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลุ่มการเงิน บมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) กล่าวว่า บริษัทมองหาการเข้าซื้อกิจการ (M&A) หรือร่วมลงทุน (JV) เพิ่มเติม ร่วมกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจที่มีความใกล้เคียงกัน โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยเห็นความชัดเจนในการเข้าลงทุนภายในปี 66-67

บริษัทคาดว่าทิศทางผลประกอบการในปี 66 จะมีการเติบโตได้เมื่อเทียบกับปี 65 โดยจะได้รับปัจจัยหนุนหลักจากการให้บริการด้านความปลอดภัยในส่วนของการบินตามจำนวนเที่ยวบินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นมาแตะระดับ 1.8 ล้านคน ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา

นอกจากนี้บริษัทคาดว่างานโครงการต่างๆจะเข้ามาเพิ่มเติมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Network Solutions ที่จะเพิ่มจากระบบอาณัติสัญญาณ ตามการขยายมอเตอร์เวย์ในเส้นทางต่างๆที่มีเพิ่มมากขึ้น ทั้งกรมทางหลวง และ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะส่งผลให้มูลค่างานโครงการในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นเป็นระดับไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท

ด้านกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้ง บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 66 ที่ราว 5,000 ล้านบาท และ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ที่ 8.7% จากปีนี้ 4,600 ล้านบาท และมี EBIT ที่ 7.8% แบ่งออกเป็น 3 สายธุรกิจย่อยคือ 1.สินค้าอุปโภคบริโภค ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนมหนองโพ หม่ำแซบ ซอสหอยนางรมลีกุมกี่ เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังคงมีการเจรจากเพื่อที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับสินค้ากลุ่มใหม่ๆเพิ่มเติมขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ 2.สินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ 3.สินค้ากลุ่มส่วนผสมอาหาร ยังคงมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการของผู้ประกอบการที่มีการฟื้นตัวได้ตามความต้องการของผู้ประกอบการ โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับผลิตภัณฑ์ที่มาจากสหภาพยุโรป และ ประเทศสหรัฐเพิ่มเติม จากเดิมที่บริษัทเป็นตัวแทนให้กับผลตภัณฑ์ที่มาจาก ประเทศจีน ประเทศอินเดีย และ ตุรกี เป็นต้น

“ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมามีการฟื้นตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพธุรกิจเทรดดิ้งที่เป็นสัดส่วนรายได้ราว 42% นอกจากนี้เรายังมีการเข้าประมูลงานโครงการใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบอาณัติสัญญาณที่จะเข้ามาหนุนระดับ Backlog มากกว่า 10,000 ล้านบาทอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามเราจะดำเนินกิจการด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งสงครามทางการค้า เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจถดถอย ที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยได้”

นายสุพัฒน์ กล่าว

ภาพรวมผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/65 จะเติบโตจากไตรมาส 3/65 ราว 15% ปัจจัยหนุนหลักจากงานโครงการในมือที่ค้างท่ออยู่จากก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่ง Backlog ณ สิ้นเดือน ก.ย.65 อยู่ที่ 8,462 ล้านบาท กระจายไปยัง 4 กลุ่มธุรกิจ แบ่งเป็น กลุ่ม Network Solutions 3,406 ล้านบาท กลุ่ม Information Technology 2,911 ล้านบาท กลุ่ม Energy 1,340 ล้านบาท และ กลุ่ม Services  805 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาส 4/65 ราว 2,823 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาต่อเนื่องถึงปี 67

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ธ.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top