จีนออกมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย หนุนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า-ชูท่องเที่ยวในประเทศ

รัฐบาลกลางจีนได้ประกาศมาตรการ 20 ประการเมื่อวันจันทร์ (31 ก.ค.) เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว รวมถึงการกระตุ้นการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ซึ่งหมายถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่สามารถสั่งการได้ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน และมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

นายสวี่ หงข่าย รองผู้อำนวยการคณะกรรมการนโยบายเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศจีน (CAPS) กล่าวว่า มาตรการดังกล่าว ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ผู้บริโภคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังหมายถึงผู้ผลิตหรือผู้จัดหาสินค้าและบริการด้วย ซึ่งโดยรวมแล้ว มาตรการเหล่านี้มีขึ้นเพื่อรักษาเถียรภาพการใช้จ่ายสินค้าที่มีราคาแพง และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่เปราะบาง เช่น ภูมิภาคต่าง ๆ ในชนบท

สิ่งสำคัญอันดับสูงสุดคือการสนับสนุนการซื้อรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์แบบไฮบริด

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า จีนได้ขยายเวลาการลดหย่อนภาษีสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่อยู่แล้ว และเมื่อวันจันทร์ (31 ก.ค.) ทางการได้กระตุ้นให้มีการติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมาตรการอื่น ๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าด้วย

นอกจากนี้ ในบรรดาสินค้าราคาแพงอื่น ๆ นั้น มาตรการใหม่ยังกระตุ้นให้ครัวเรือนปรับปรุงและติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะภายในบ้านอย่างสมบูรณ์ ซึ่งใช้อินเทอร์เน็ตเป็นตัวเชื่อมต่อทุกสิ่งทุกอย่าง

ในด้านการท่องเที่ยวนั้น รายงานระบุว่า นับตั้งแต่จีนยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดอันเข้มงวดเมื่อเดือนธ.ค. การท่องเที่ยวในท้องถิ่นก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

นักวิเคราะห์ของโนมูระกล่าวว่า เที่ยวบินภายในประเทศในเดือนก.ค. ฟื้นตัวขึ้นมากกว่าระดับในปี 2562 เล็กกน้อย ในขณะที่ยอดจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ก็มากกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกในเดือนก.ค. จะเพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี จากระดับ 3.1% ในเดือนมิ.ย.

ทั้งนี้ มาตรการใหม่ยังสนับสนุนให้นายจ้างเพิ่มวันหยุดที่ได้รับค่างจ้างให้กับลูกจ้าง เพื่อให้ผู้คนได้หยุดพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาว โดยแรงงานส่วนใหญ่ในจีนมีวันหยุดต่อปีเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ตรงกันข้ามกับประเทศอื่น ๆ เช่นสหรัฐ ที่นายจ้างเสนอวันหยุดให้มากถึง 2 – 4 สัปดาห์

นอกจากนี้ ทางการกล่าวว่าจะให้การสนับสนุนการจัดคอนเสิร์ต การแข่งขันกีฬา และกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 66)

Tags: ,
Back to Top