IVL รับผลกระทบเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ-จีนฟื้นช้ากดดันกำไรหด YoY มั่นใจปี 67 พลิกดีขึ้น

บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66

– รายได้จากการขายเท่ากับ 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลง 20% เมื่อเทียบปีต่อปี

– EBITDA เท่ากับ 324 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลง 37% เมื่อเทียบปีต่อปี

– กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเท่ากับ 410 ล้านเหรียญสหรัฐ

– สัดส่วนหนี้สินจากการดำเนินงานสุทธิต่อทุนเฉลี่ยเท่ากับ 0.97 เท่า

– กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.00 บาท

IVL ระบุว่า EBITDA ในไตรมาส 3/66 เพิ่มขึ้น 1% QoQ และลดลง 37% YoY ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาวะชะงักงันในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องภายหลังการแพร่ระบาด ทั้งนี้ ปริมาณการขายลดลง 5% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.6 ล้านตัน เนื่องจากการฟื้นตัวของประเทศจีนหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการขยายระยะเวลาในการระบายสต๊อกในภาคการผลิตและอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ที่ยังคงปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติจากระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในปีที่ผ่านมา

ฝ่ายบริหารยังคงให้ความสำคัญกับการรักษากระแสเงินสด ตระหนักถึงการพัฒนาประสิทธิผล และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในฐานการผลิตของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มผลกำไร ความพยายามเหล่านี้ส่งผลให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกเท่ากับ 410 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสดังกล่าว โดยมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกจำนวน 79 ล้านเหรียญสหรัฐนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน และเพียงพอสำหรับการลดเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงอันดับเครดิตที่ระดับ AA- พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิตคงที่จากทริสเรทติ้งในไตรมาสนี้

บริษัทฯ คาดว่าสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในปี 67 ด้วยสถานการณ์ระบายสต็อกสินค้าของลูกค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในทั้งสามกลุ่มธุรกิจของ IVL นอกจากนี้ การเร่งโครงการขยายของกลุ่มธุรกิจ PET และกลุ่มธุรกิจ Fibers ในประเทศอินเดียและสหรัฐอเมริกา จะส่งผลให้ปริมาณการขายในปี 67 เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

กลุ่มธุรกิจ Combined PET มี EBITDA เท่ากับ 146 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 25% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ท่ามกลางอัตรากำไร PET ที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นในตลาดตะวันตก และผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการระบาย สต๊อกสินค้า

สำหรับกลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) มี EBITDA เพิ่มขึ้น 27% เท่ากับ 119 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไร MTBE ที่แข็งแกร่งในธุรกิจ Integrated Intermediates ส่วนความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Integrated Downstream ได้รับผลกระทบมาจากการระบายสต็อกสินค้า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และแรงกดดันด้านกำไรจากการนำเข้า

ส่วนกลุ่มธุรกิจ Fibers มี EBITDA เพิ่มขึ้น 140% เท่ากับ 48 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องจากปริมาณการขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์เพิ่มขึ้นในตลาดสำคัญในแถบเอเชีย และในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Mobility รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ Hygiene ซึ่งได้รับประโยชน์จากการที่ฝ่ายบริหารให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการปรับโฟกัสขององค์กร

นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม IVL กล่าวว่า เรากำลังสร้างความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการดำเนินงานของทีมบริหารตามที่ได้แจ้งไว้ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งในระยะสั้นจะก่อให้เกิดกระแสเงินสดอิสระที่เป็นบวก ในขณะที่ระยะกลาง เราจะสานต่อความพยายามอย่างหนักในการรักษาต้นทุนให้อยู่ในควอไทล์แรก เพื่อให้เกิดความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น รองรับสถานการณ์ที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในปี 67 หลังจากที่อุตสาหกรรมเผชิญสภาพแวดล้อมที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจ

“ผมต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ระดับสินค้าคงคลังทั่วโลกยังไม่กลับเข้าสู่ระดับที่ดีที่สุด ซึ่งรวมถึงคลังสินค้าของเราเองด้วย เนื่องด้วยห่วงโซ่คุณค่าในกลุ่มธุรกิจของเราได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น เรากำลังปรับการดำเนินธุรกิจของเราทั่วโลกให้สามารถตอบสนองสภาวะอุปสงค์อุปทานและกระแสการค้าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถนำเสนอสินค้าที่น่าเชื่อถือและแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้สามารถนำเสนอโซลูชั่นเพื่อความยั่งยืนที่ดีที่สุด”

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 66)

Tags: , , ,
Back to Top