TTB มองศก.ไทยฟื้นตัวช้า คาดปี 67 โตแค่ 3.1% จับตาความเสี่ยงรอบด้าน

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังไม่กลับสู่ระดับศักยภาพ จากการฟื้นตัวที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึงในหลายภาคส่วน โดยได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 66 ลงเหลือ 2.4% จากเดิมคาดไว้ที่ 2.8% ขณะที่ปี 67 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มเป็น 3.1% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว ประกอบกับผลบวกชั่วคราวจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค อย่างไรก็ดี มองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก

ttb analytics ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปี 66 ว่าจะเติบโตเหลือ 2.4% จากเดิมที่ 2.8% แม้เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกลับเข้าสู่ระดับก่อนวิกฤตได้แล้ว แต่ยังไม่กลับสู่ระดับศักยภาพ (Potential Output) จากการฟื้นตัวที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึงในหลายภาคส่วน (Slow and Uneven)

โดยจะเห็นได้จากเศรษฐกิจไทยช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 66 ที่ขยายตัวได้เพียง 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งต่ำกว่าที่ประเมินไว้ค่อนข้างมาก เป็นผลจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการท่องเที่ยวที่ล่าช้ากว่าคาด การบริโภคในประเทศถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงเรื้อรัง ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวต่อเนื่อง ผลจากการเบิกจ่ายงบประมาณต่ำกว่าที่ประเมินไว้

ทั้งนี้ ttb analytics ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 67 จะขยายตัวได้ 3.1% (จากประมาณการเดิมที่ 3.2%) ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพครัวเรือน และการกระตุ้นการบริโภคในภาพรวม อาทิ มาตรการลดหย่อนภาษี (Easy E-receipt) นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มาตรการแก้หนี้นอกระบบ ตลอดจนแรงส่งจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อย่างไรก็ดี การลงทุนภาครัฐในปี 67 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง หลังการลงทุน Mega Project โครงการใหม่ๆ คาดว่าจะล่าช้าออกไปจากกรอบปีงบประมาณปกติราว 6 เดือน อันเนื่องมาจากความล่าช้าในกระบวนการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2567 ซึ่งจะทำให้สามารถเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ราวปลายไตรมาสที่ 2/67 และคาดว่าการลงทุนภาครัฐจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 3 ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ

ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้า คาดว่าจะพลิกกลับมาขยายตัวได้ ส่วนหนึ่งมาจากอานิสงส์ของฐานต่ำในปีนี้ รวมถึงปริมาณการค้าโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น และวัฎจักรการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่เริ่มกลับมาขยายตัวได้ดี เช่นเดียวกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน จากการฟื้นตัวของภาคการผลิต และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่าจะมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยน้อยกว่าคาด รวมถึงจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ยังไม่กลับเข้าสู่ระดับปกติ ซึ่งแม้ว่าจะมีนโยบายการยกเว้นการขอวีซาเข้าประเทศไทยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ (Visa Free) แต่อาจยังไม่เพียงพอที่จะทดแทนนักท่องเที่ยวจีนได้ ทำให้อัตราการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้า จะยังไม่กลับเข้าสู่ระดับปกติเหมือนเช่นปี 62

ด้านเสถียรภาพทางการเงิน แม้ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะต่ำกว่ากรอบล่างเป้าหมาย แต่ยังมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาเร่งขึ้นบ้างในระยะต่อไป ตามราคาน้ำมันดิบที่อาจผันผวนสูงขึ้น จากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการเข้าควบคุมกลไกด้านราคาในตลาดโลก ขณะที่การชดเชยราคาพลังงานจากมาตรการลดค่าครองชีพจะทยอยหมดลงในปีหน้า อีกทั้งยังมีแรงกดดันด้านราคาอาหารที่อาจกลับมาเร่งตัวอีกครั้ง จากผลพวงของปรากฎการณ์เอลนีโญ ตลอดจนแรงกดดันด้านอุปสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว

ดังนั้น ทำให้ ttb analytics ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวที่ 2.5% ตลอดทั้งปี 67 เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) รองรับกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ttb analytics มองว่ามีทั้งหมด 4 ปรากฎการณ์ ที่อาจเห็นในปี 67 ได้แก่

1. “เศรษฐกิจและการค้าโลกมีความไม่แน่นอนสูง” แม้เศรษฐกิจโลกจะผ่านพ้นจุดต่ำสุด (Bottom Out) ไปแล้ว แต่ในระยะต่อไป เศรษฐกิจทั่วโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ที่น่าจะเผชิญโมเมนตัมเศรษฐกิจแผ่วลง (Soft Landing) เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนที่กำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ และยังมีความเปราะบางเชิงโครงสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังครุกรุ่นในหลายภูมิภาคทั่วโลก เหล่านี้ถือเป็นความเสี่ยงด้านต่ำ ที่อาจลดทอนกำลังซื้อในตลาดโลกและการส่งออกของไทย

2. “ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนมากขึ้น” โดยตลอดทั้งปี 67 จะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่หลายแห่งทั่วโลก อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย และไต้หวัน ซึ่งอาจทำให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการดำเนินโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าระหว่างประเทศในระยะต่อไป

นอกจากนี้ นักลงทุนในตลาดบางส่วนคาดหวังว่าจะเห็นการทยอยผ่อนคลายการดำเนินนโยบายทางการเงิน (Dovish) ของประเทศหลักในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 67 ซึ่งอาจกดดันตลาดการเงินทั่วโลก รวมไปถึงค่าเงินบาท อาจจะมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ผันผวนมากขึ้นได้เช่นกัน

3. “การบริโภคในประเทศอ่อนแอกว่าที่เห็น” โดยระดับรายได้ของครัวเรือนไทยฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า สวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ด้านอัตราดอกเบี้ยก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนอ่อนแอลง ส่งผลให้การปล่อยกู้สินเชื่อภาคธนาคารมีความเข้มงวดขึ้น

โดยจะเห็นได้จากการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์ ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 66 ขณะที่คุณภาพหนี้ภาคครัวเรือนย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตัวเลขหนี้เสีย (NPL) และความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสีย (Stage 2) ของสินเชื่อเช่าซื้อรถในไตรมาสล่าสุดที่เร่งขึ้นอย่างมีนัย

4. “เสถียรภาพเศรษฐกิจเปราะบางขึ้น” คาดว่าโครงการเงินดิจิทัล (Digital Wallet) จะออกมาช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 และ 3 ของปี ซึ่งประเมินเบื้องต้นว่าจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนต่อระบบเศรษฐกิจได้ราว 0.4-0.7% ของ GDP และหนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.6% ในปีหน้า

ทั้งนี้ แม้จะยังไม่เห็นความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้ แต่ภาครัฐก็จำเป็นต้องกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ที่มีข้อจำกัดมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ จากเสถียรภาพเศรษฐกิจต่างประเทศที่เปราะบางขึ้น

“เศรษฐกิจไทยในปี 67 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่จะเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำ จากความไม่แน่นอนรอบด้าน หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการค้าโลกแผ่วลงกว่าคาด ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ภาคส่งออก และภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุน ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากกลไกสนับสนุนของภาครัฐ” บทวิเคราะห์ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ธ.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top