MINT โชวร์กำไรสุทธิครึ่งปีแรกโต 74% รับฤดูท่องเที่ยวยุโรป-อเมริกาหนุน RevPar

บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ประกาศกำไรสุทธิสำหรับครึ่งแรกของปี 67 ที่ 3,969 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งนี้จากฐานที่สูงของกำไรสุทธิในปีก่อนสะท้อนถึงรูปแบบโมเดลทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของ MINT และความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก ใน 6 เดือนแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงาน (ไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว) เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ไตรมาส 2/67 MINT มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสร้างสถิติใหม่ 3,230 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8% โดยหลักมาจากความสำเร็จของโรงแรมในทวีปยุโรปและอเมริกาที่เข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว ความต้องการการเดินทางเพื่อพักผ่อนและเพื่อธุรกิจยังคงแข็งแกร่งในส่วนของพอร์ตโฟลิโอธุรกิจโรงแรมทั้งในยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ในไตรมาส 2/67 สำหรับโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของและเช่าบริหารในภูมิภาคนี้เติบโตที่ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าปีที่แล้วจะมีฐานที่สูง

การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่ 7% และการเติบโตของอัตราการเข้าพักของพอร์ตโฟลิโอโดยรวม 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญจากโรงแรมในมาดริด เวนิส และเมืองสำคัญและเมืองรองในเยอรมนี ซึ่งได้รับประโยชน์จากฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรเปี้ยนแชมเปี้ยนชิปในเดือนมิ.ย.67

นอกจากนั้น โรงแรมที่ MINT เป็นเจ้าของในประเทศไทยยังมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยไตรมาส 2/67 รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนมีการเติบโตที่ 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงกระแสการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทย โดยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ยุโรป อินเดีย และออสเตรเลีย อัตราการเข้าพักที่เติบโต 5% และ ราคาห้องพักเฉลี่ยที่เติบโตร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เน้นย้ำถึงความน่าสนใจของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำ

และความแข็งแกร่งของพอร์ตสินทรัพย์ของ MINT โรงแรมในสมุย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นและทำผลงานได้เหนือความคาดหมายด้วยการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน 32%, 10% และ 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมภายใต้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ซึ่งได้รวมหน่วยธุรกิจ ค้าปลีก ได้เห็นความสำเร็จจากป๊อป มาร์ท ที่ขณะนี้มีถึง 6 สาขาในกรุงเทพฯ และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม

ในช่วงไตรมาส 2/67 ไมเนอร์ ฟู้ด ยังรายงานผลประกอบการแข็งแกร่ง โดยส่วนใหญ่มาจากการดำเนินงานในประเทศไทยและสิงคโปร์ ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (Total-System-Sales) ในประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดเติบโตร้อยละ 7.4 ในขณะที่สิงคโปร์เพิ่มขึ้นที่ 12.8% ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำส่วนแบ่งทางการตลาดของไมเนอร์ฟู้ดในทั้งสองตลาด การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากโปรแกรมความภักดีที่ประสบความสำเร็จและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในช่วงที่ความต้องการรับประทานอาหารในร้านฟื้นตัว เช่น ซิซซ์เลอร์ นำเสนอเมนูคอมโบสลัดบาร์บุฟเฟ่ต์และโปรตีนที่ขายดีที่สุด และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี นำเสนอ BiTE ซึ่งเป็นอาหารจานเดียว ที่เหมาะสำหรับการจัดส่งความพยายามเหล่านี้เพิ่มความน่าสนใจของแบรนด์สามารถสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและเพิ่มโอกาสในการรับประทานอาหารที่หลากหลาย ส่งผลให้ยอดขายต่อร้านเดิมเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 7.1% และ 2.8% สำหรับซิซซ์เลอร์ และ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ตามลำดับ การได้รับประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยทำให้อัตรากำไรดีขึ้น ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกิจการร่วมค้าหนุนให้ ไมเนอร์ ฟู้ด สามารถบรรลุการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้งในส่วนของรายได้และผลกำไร ด้วยกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลการดำเนินงานและส่วนของผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งของ MINT บริษัทยังคงสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนลดลงจาก 1.01 เท่า ณ สิ้นปี 66 เป็น 0.96 เท่า ณ สิ้นเดือนมิ.ย.67 การลดลงนี้ถือเป็นผลสำเร็จถึงแม้ว่าจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการยกระดับอสังหาริมทรัพย์ การรีแบรนด์ รวมถึงมีการจ่ายเงินปันผลที่ 0.32 บาทต่อหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 2/67

MINT เปิดตัวโรงแรม ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 67 โดยมีทั้งโรงแรมในประเทศฟินแลนด์ที่บริษัทเช่าบริหารและโรงแรมภายใต้สัญญารับจ้างบริหารในแอฟริกาใต้ มัลดีฟส์ ศรีลังกา และไทย ซึ่งรวมถึงโรงแรมเอ็นเอชแห่งแรกใน โยฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ และการเปิดตัวโรงแรมภายใต้สัญญารับจ้างบริหารของ เอ็นเอช และเอ็นเอช คอลเลคชั่น จำนวน 4 โรงแรม ในประเทศ ศรีลังกาและมัลดีฟส์ ซึ่งทาง ไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้มีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบที่บริษัทเป็นเจ้าของเองอยู่แล้ว

นอกจากนี้การที่บริษัทได้เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของประเทศอินโดนีเซีย MINT ได้ขยาย แดรี่ ควีน ไปยังเมืองใหม่ๆ ในประเทศอินโดนีเซีย เช่น บาหลีและบันเติน ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหาร เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ MINT ในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้โมเดลธุรกิจแบบลดการถือครองสินทรัพย์ หรือ Asset-Light และเน้นการเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจเป็นสำคัญ

นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของธุรกิจของ MINT สำหรับช่วงที่เหลือของปี 67 จากการที่ยุโรปเตรียมเข้าสู่ ไฮซีซั่นอีกครั้งในเดือนก.ย.และต.ค.ซึ่งจะมีทั้งกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ และกีฬา รวมถึงการประชุมทางธุรกิจ ในขณะที่แถบเอเชียจะเข้าช่วงไฮซีซั่นใน ไตรมาสที่ 4 ซึ่งเราพร้อมที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ที่นำความริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ประกอบกับแบรนด์ระดับพรีเมียมและสินทรัพย์ต่างๆ ในพอร์ตโฟลิโอเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเราสามารถได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากโอกาสที่จะเข้ามาสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดเป้าหมาย และส่งต่อผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมนี้ให้กับทั้งผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราต่อไป ทั้งนี้ในช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าจะมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดีส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของเราจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 67

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 67)

Tags: , ,
Back to Top