สรุป Key Messages จาก 10 วิทยากรบนเวที The Story Thailand Forum 2025 “พลิกโฉมอนาคตร่วมกัน: สู่ความยั่งยืนในยุค AI”

ปิดฉากลงไปแล้วสำหรับงานสัมมนาประจำปี The Story Thailand Forum 2025 ซึ่งจัดขึ้นในวาระพิเศษครบรอบ 5 ปี ภายใต้หัวข้อ “พลิกโฉมอนาคตร่วมกัน: สู่ความยั่งยืนในยุค AI” เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพฯ โดยรวบรวมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายวงการเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

สำหรับไฮไลต์ Key Messages จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 10 ท่าน ซึ่งคุณอศินา พรวศิน บรรณาธิการบริหารและผู้ก่อตั้ง The Story Thailand ได้กล่าวแนะนำว่าเป็น “ตัวพ่อของแต่ละ Sector” มีดังนี้:

• ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ในหัวข้อ “Rebalancing Strategy towards Economic Sustainability”

o AI ช่วยหนุนเศรษฐกิจ ทั้งในแง่ของการผลิตและการบริโภค

o AI ที่ช่วยในฝั่งของการบริโภค คือ AI-as-a-product model ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาวะ (well-being) ที่ดีขึ้น

o ส่วน AI ที่ช่วยในฝั่งของการผลิต คือ AI-as-resource model โดยช่วยสนับสนุนใน 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ 1. Save (ลดต้นทุน – เพิ่มความสามารถในการทำกำไร) 2. Spend (ลงทุน – เพิ่มผลิตภาพ) และ 3. Earn (เพิ่มรายได้)

o หากแบ่งประเทศต่าง ๆ ออกเป็น 4 กลุ่ม ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่ม “Tech Enthusiast” คือมีความกระตือรือร้นที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ผลักดันเรื่องความยั่งยืน แต่ยังขาด adoption หรือการนำมาใช้งานจริง

 

• คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษา Arise by INFINITAS และอดีตประธาน KBTG ในหัวข้อ “How Thailand could survive in the Age of AI”

o 3 ปัญหาใหญ่ที่โลก รวมถึงประเทศไทย ต้องเผชิญ คือ

1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ – ทำให้น้ำท่วม ภัยแล้งในไทยรุนแรงขึ้น อาจเจอโรคระบาดที่ร้ายแรงกว่าโควิด-19 หลายเท่า

2. Technology Disruption – AI จะยิ่งเพิ่มความไม่เท่าเทียม ประเทศที่เข้าถึงความฉลาดได้มากกว่าย่อมได้เปรียบกว่า และยิ่งใช้ AI มาก ก็ยิ่งใช้พลังงานมาก แค่พลังงานสะอาดอาจไม่เพียงพอ ซึ่งก็จะยิ่งหนุนให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นอีก

3. New World Order – สหรัฐฯ ไม่ต้องการให้จีนเก่งกว่าในด้าน AI ประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มชาตินิยมเพิ่มขึ้น ทำสงครามกันมากขึ้น และใช้ AI ในการทำสงครามด้วย จนอาจเรียกได้ว่าเป็น “New World Disorder”

o 3 ปัญหาเฉพาะตัวของไทย และทางแก้ไข

1. ผลิตภาพต่ำ จากปัญหาประชากร (คนแก่มากขึ้น คนเกิดน้อยลง) ตลอดจนปัญหาระบบราชการที่มีขนาดใหญ่โต แต่ทำงานแบบเดิม ๆ และทำงานแบบแยกส่วน (Silo) จนเป็น “Unhealthy Economy”

ทางแก้: ทำเศรษฐกิจดิจิทัล หนุนระบบ Paperless ใช้ Productivity tools และปรับปรุงบริการดิจิทัลภาครัฐให้เป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้น

2. คอร์รัปชันสูง จนเป็น “วงจรอุบาทว์” เริ่มจากการซื้อเสียง ซื้อตำแหน่ง นำไปสู่การกินงบประมาณภาครัฐ ขาดความโปร่งใส และเอื้อให้เกิดธุรกิจสีเทา จนเป็น “Unhealthy Society”

ทางแก้: หนุนระบบ Cashless เพื่อเพิ่มความโปร่งใส ไม่เอาธนกิจการเมือง (Money Politics) เลื่อนตำแหน่งข้าราชการจากความสามารถ ใช้ Open Data

3. ความสามารถทางการแข่งขันต่ำ ไทยแข่งกับประเทศอื่นไม่ได้ ทั้งด้านคุณภาพการศึกษา (คะแนน PISA ต่ำ) ขาดอีโคซิสเต็มที่ปลูกฝังให้เกิดนวัตกร (innovator) และมีกฎระเบียบกำกับดูแลมากเกินไป จนเป็น “Unhealthy Future”

ทางแก้: ใช้ AI ช่วยทำ Personalized Learning หนุน SME และสตาร์ตอัป พัฒนา Business Solutions ระดับโลก

 

• คุณอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ในหัวข้อ “Quantum Innovation for Greener and Sustainable World”

o IBM เป็นผู้นำในด้านการวิจัยควอนตัมคอมพิวเตอร์มากว่า 40 ปี และมีชุมชนควอนตัมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

o คอมพิวเตอร์แบบคลาสสิกใช้เพื่อแก้ปัญหาแบบ deterministic จากข้อมูลที่มี ส่วนควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้แก้ปัญหาแบบ probabilistic ที่มีข้อมูลไม่เพียงพอ

o ควอนตัมคอมพิวเตอร์ไม่ได้มาแทนที่คอมพิวเตอร์คลาสสิก แต่ IBM นำคอมพิวเตอร์สองแบบนี้มาใช้แบบไฮบริด เรียกว่า Quantum-centric Supercomputing (QCSC) ตัวอย่างการทำมาใช้จริง คือใช้วิจัยด้านเคมี

o ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพที่จะใช้แก้ปัญหาด้านความยั่งยืนได้ในอนาคต เช่น ใช้ออกแบบแบตเตอรี่ใหม่ พัฒนาเชื้อเพลิงแบบใหม่ ศึกษาการดักจับคาร์บอน

o IBM เชื่อว่า ภายในปี 2572 ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะไปถึงขั้นที่เรียกว่า “Fault Tolerance” คือ แม้องค์ประกอบบางอย่างจะมีความผิดพลาด แต่คอมพิวเตอร์ก็ยังจะประมวลผลได้ถูกต้องแม่นยำ

 

• คุณเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล และ (รักษาการ) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในหัวข้อ “The Green Algorithm: AI and the Future of Our Planet”

o AI สามารถใช้สนับสนุนทั้งธุรกิจและความยั่งยืนได้ในเวลาเดียวกัน

o AI สามารถแก้ปัญหาความยั่งยืนใน 3 ด้าน คือ ด้าน Data and Analytics, ด้าน Automation และด้าน Simulation and Optimization

o Use Case ของ AI ในด้านความยั่งยืน

1. Energy Optimization – ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มการประหยัด

2. Smart and Sustainable Cities – ใช้ AI ในระบบไฟจราจร

3. Sustainable Supply Chains – ใช้ AI คาดการณ์ดีมานด์ ลดขยะอาหาร (food waste)

4. Water and Agriculture – ใช้ AI ช่วยพ่นยาฆ่าวัชพืชแบบแม่นยำ หรือทำระบบชลประทานอัจฉริยะ

5. ESG and Reporting Automation – ใช้ AI ช่วยร่างและจัดการแบบสอบถามเกี่ยวกับ ESG โดยอัตโนมัติ

o ประโยชน์ของ AI ที่มีต่อทั้งธุรกิจและความยั่งยืน คือ ช่วยเพิ่ม ROI เพิ่ม Brand Impact ลดความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถ

ในการแข่งขัน

 

• ดร.ทุตานนท์ สินธุประสิทธิ์ R&D & Innovation Lab Lead บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในหัวข้อ “Innovate & Ignite: SCBX’s drive for sustainable future”

o มุมมองของ SCBX ในด้าน AI ปี 2568 แบ่งออกได้เป็น 4 องก์ (ACT I to ACT IV)

องก์ 1. โมเดล Gen AI แบบเปิด (เช่น DeepSeek) กับแบบปิด (เช่น OpenAI) จะแข่งขันกัน โดยโมเดล AI แบบเปิดมีประสิทธิภาพไล่ตามโมเดลแบบปิดอย่างกระชั้นชิด และช่วยให้ต้นทุน Gen AI โดยรวมมีราคาถูก

องก์ 2. โมเดล AI จะมีขนาดเล็กลง แต่ประสิทธิภาพดีขึ้น และทำงานได้หลากหลาย (Tiny Titans) โดยภาคธุรกิจจะนิยมนำโมเดล AI ขนาดเล็กมาติดตั้งในคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ด้านความเป็นส่วนตัว

องก์ 3. Agentic AI เช่น ของ SCBX ที่นำมาใช้ทำบทวิเคราะห์หุ้น MSFT

องก์ 4. AGI มาแน่ อยู่ที่ว่าจะมาตอนไหน โดยความเก่งของ AI ยังอยู่แค่ Level 1: Emerging (สูงสุดคือ Level 5: Superhuman)

o SCBX มี LLM ของตัวเอง ชื่อ “ไต้ฝุ่น” (Typhoon) โดยมีการนำไปใช้ในโรงพยาบาลศิริราช, VISAI (“สมหมาย” แชตบอตตอบปัญหากฎหมาย) และ TDRI

 

• ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิจัยไทยจากสถาบัน MIT Media Lab ในหัวข้อ “Flourishing Cyborgs: Designing Human-AI Interactions for Promoting Wisdom, Wonder, and Wellbeing”

o อย่ามองแค่ให้ AI ช่วยเพิ่มความฉลาดของคน แต่ให้ AI ช่วยให้คน “เจริญงอกงาม” ขึ้นด้วย คือเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตและลดปัญหาสุขภาพจิต

o อีกขั้นของ Large Language Models คือ “Large Human Models” ใช้ Agentic AI จำลองคนไปอยู่ในเมืองเสมือน เพื่อใช้คาดการณ์ Life Satisfaction ของคนแบบต่าง ๆ (เช่น กลุ่ม Privileged กับกลุ่ม Under-Privileged)

o Large Human Models ยังใช้จำลองเพื่อแชตกับ “ตัวเอง” ในวัยชราได้ด้วย เช่น โครงการ “Future You” ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ช่วยลดความวิตกกังวลและเพิ่มแรงจูงใจ

o Large Human Models ยังสามารถอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ผ่านโครงการ “Cyber Subin” จำลองท่าโขนผ่าน AI และสามารถนำมาใช้ออกแบบท่าโขนใหม่ ๆ ได้ด้วย

o Proactive Agents เช่น “Wearable Reasoner” แว่นตา AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้แยกแยะได้ว่า สิ่งที่ผู้ใช้กำลังฟังนั้นสมเหตุสมผลมากน้อยแค่ไหน หรือการทำแชตบอต AI ให้คนได้คุยกับสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้คนสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น

o AI Impact on Human Eval ศึกษาผลลัพธ์การใช้ AI ในด้าน Psychosocial ซึ่งพบว่า ผู้ใช้เป็นอย่างไร AI ก็เป็นอย่างนั้นด้วย และพฤติกรรมของ AI เองก็มีอิทธิพลต่อผู้ใช้ด้วยเช่นกัน ทั้งในแง่ Prosocial และ Antisocial และการใช้ AI ตัดต่อรูปถ่ายและวิดีโออาจส่งผลให้ผู้ใช้มีความทรงจำที่ผิดเพี้ยนได้ (หลงจำไปว่ารูปถ่ายของเราที่ AI ตัดต่อเป็นภาพจริง)

 

• คุณยุทธนา เจียมตระการ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม หอการค้าไทย ในหัวข้อ “Unlocking Sustainable Business through Circular Economy Mechanisms”

o โลกเจอ 3 ปัญหาใหญ่ คือ ปัญหาสภาพอากาศ การสูญเสียธรรมชาติ และความไม่เท่าเทียมพุ่งสูงขึ้น

o แค่โลกร้อนขึ้น 2 องศาเซลเซียส ปะการังก็หายไปแล้ว 99% แค่โลกร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียส สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็หายไปแล้ว 41%

o ธุรกิจส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นแบบ Linear Economy ซึ่งไม่ยั่งยืนและทำลายสิ่งแวดล้อม เป้าหมายคือเราต้องพัฒนาให้เป็น Circular Economy ผ่านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และทัศนคติ

o Circular Economy ไม่ใช่ CSR แต่คือการทำโมเดลธุรกิจให้มี Circularity หรือเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ

o เทคโนโลยี Digital Twin เช่น AI, IOT, XR และคลาวด์ ล้วนช่วยผลักดันให้เกิดกลไก Circular Economy ได้ทั้งสิ้น

o “พวกเราทุกคนคือส่วนหนึ่งของปัญหา เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันด้วย Do more with less.”

 

• ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล Managing Director บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ในหัวข้อ “Agentic AI Transformation”

o ถ้า AI คือสมอง Generative AI ก็คือ สมอง+ปาก และ Agentic AI คือ สมอง+ปาก+แขนขา

o AI Agent คือ AI ที่สามารถรับคำสั่งจากคนมาปฏิบัติและตัดสินใจได้เอง โดยสามารถสื่อสารกับโปรแกรมอื่น ๆ แทนเราได้ ส่วน Agentic AI คือระบบที่ใช้ AI Agent ต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เป็นเหมือนสุดยอดเพื่อนร่วมงาน

o Agentic AI ในอนาคตจะมีความ physical มากขึ้น ผ่าน 3 องค์ประกอบ คือ AI, Omni Compute และ Spatial Intelligence

o KBTG แนะ 5 ขั้นสำหรับองค์กรที่อยากเริ่มใช้ Agentic AI

1. ตั้งเป้าหมายให้ชัด

2. เน้นด้านที่มี Impact สูง

3. ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูล

4. บ่มเพาะการประสานงานระหว่างแผนกต่าง ๆ

5. ติดตามวัดผลสำเร็จ

o AI Factory: การประมวลผล AI ในอนาคตจะเน้นที่ Token

o Physical AI: AI จะใช้และแพร่หลายมากขึ้นในเร็ว ๆ นี้

o AI ลด Cost ได้จริง: พิสูจน์แล้วว่า AI สามารถลดต้นทุนได้แล้ว

o Data ที่กลั่นแล้วคือ New Oil: ข้อมูลคุณภาพสูงคือกุญแจสำคัญ

o ความท้าทายด้าน AI ของไทยคือ พัฒนาไม่ทันเจ้าใหญ่ และมี Developer น้อยกว่ากันมาก แต่ไทยมีจุดแข็งในด้านจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

o “ถ้าเราไม่สร้างเทคโนโลยีเอง ก็ต้องใช้ของคนอื่นไปทั้งชาติ”

o ปัญหาของไทยคือ ประชากรลดลง คนมีลูกน้อยลง คนสูงวัยมีมากขึ้น SME ไทยทยอยเจ๊ง ที่มีอยู่ก็ไม่โต คุณภาพการศึกษาไทยตามหลังต่างชาติ

o แต่โอกาสของไทยคือการนำ AI มาประยุกต์ใช้กับความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Domain_expert X AI = Opportunities)

o เช่น Use Case ในไทยของบริษัท SYNAPES ที่นำ AI มาวิเคราะห์ภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิด เพื่อใช้ตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติ หรือกรณีของบริษัท Perceptra สตาร์ตอัปไทยที่นำ AI มาใช้ตรวจพบความผิดปกติในปอด

o ในอนาคตจะมี AI ที่เป็นฮิวแมนนอยด์มาทำงานต่าง ๆ เช่น ดูแลผู้สูงอายุ ไทยไม่จำเป็นต้องทำฮิวแมนนอยด์ แค่ควรเน้นพัฒนาซอฟต์แวร์ช่วยในงานบริการ เพราะแม้แต่ฮิวแมนนอยด์เองก็ต้องมีซอฟต์แวร์

o AI จะเป็น Net Job Creator คือทำให้งานแบบเก่าหายไป แต่มีงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาแทนมากกว่าเดิม

o ในเรื่อง AI นั้น การศึกษาด้วยตนเอง (Self-learning) สำคัญที่สุด เพราะเรื่อง AI Engineer ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนสอนทัน

 

ทั้งนี้ บรรยากาศตลอดทั้งงานเต็มไปด้วยความคึกคักและการแลกเปลี่ยนมุมมอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตของประเทศในยุคที่เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 68)