คมนาคม เร่งผลักดัน “ท่าเรือระนอง” ยกชั้นเป็นศูนย์กลางขนส่งภูมิภาค-พัฒนาเส้นทางเชื่อม BIMSTEC

นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่ต้องการยกระดับการให้บริการท่าเทียบเรือให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล จึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Joint Working Group Meeting) ภายใต้ MOU ระหว่างการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ท่าเรือระนอง) และท่าเรือจิตตะกอง ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งจะเป็นจุดสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ทั้งในด้านการส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาเส้นทางการขนส่งทางทะเลฝั่งอันดามัน เสริมสร้างศักยภาพท่าเทียบเรือ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้นำเข้าส่งออกด้วยการลดระยะเวลาการขนส่ง และลดค่าใช้จ่าย ทำให้ภาคการขนส่งของภาคใต้มีศักยภาพและเติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างความมั่นคง ทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ทั้งนี้ ภาพรวมท่าเรือระนองในปี 2567 ที่ผ่านมานั้น มีตู้สินค้าผ่านท่ารวม 324,933 ตัน เพิ่มขึ้น 251% จากปีก่อนซึ่งในปีนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้สั่งการให้ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เร่งดำเนินการยกระดับท่าเทียบเรือระนอง โดยการพัฒนาทั้งระบบเพื่อผลักดันให้เกิดการใช้บริการการขนส่งสินค้า ผ่านท่าเรือระนองของ กทท. ไปยังกลุ่มประเทศ BIMSTEC และอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งยังเป็นตัวเลือกที่ดีให้กับผู้ขนส่งสินค้าโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา สามารถลดระยะเวลาการขนส่งสินค้า และช่วยลดต้นทุนโลจิสต์ของประเทศได้อีกด้วย ดังนั้นในระยะต่อไปท่าเรือของ กทท. จะขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคตามนโยบายที่ได้มอบหมายไว้

ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างท่าเรือระนอง กับท่าเรือจิตตะกองประเทศบังกลาเทศ มีเป้าหมายการดำเนินงานร่วมกันในการผลักดันให้เกิดเส้นทางเดินเรือเชิงพาณิชย์ระหว่างท่าเรือระนองและท่าเรือจิตตะกองให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจภาคโลจิสติกส์ การบริหารจัดการท่าเรือ การดำเนินงาน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร การขนส่งชายฝั่ง และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับท่าเรือ ฯลฯ

สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการ ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่าง กทท. (ท่าเรือระนอง) และการท่าเรือจิตตะกอง ครั้งที่ 2 ซึ่งผลการประชุม ได้มอบหมายให้ฝ่ายไทย และฝ่ายบังกลาเทศร่วมกันจัดตั้งคณะทำงาน (Joint Working Group Committee) โดยให้พิจารณาผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเสนอให้แต่ละฝ่ายรับทราบต่อไป อีกทั้งให้กำหนดผู้ประสานงานของแต่ละฝ่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ และให้เพิ่มความถี่ของการประชุมร่วมกันเป็นปีละ 1 ครั้ง ซึ่งการประชุมดังกล่าว ถือเป็นการยกระดับการดำเนินการร่วมกันให้มีความเข้มข้น และเป็นรูปธรรมเพิ่มมากขึ้นต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 68)