
ธนาคารกลางไต้หวันออกโรงเตือนในวันศุกร์ (20 มิ.ย.) ว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นปัจจัยลบต่อแนวโน้มของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่นโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังสร้างความลังเลให้กับนักลงทุนในตลาดโลก
หยาง จินหลง ผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวันกล่าวในสุนทรพจน์ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของธนาคารว่า ท่าทีของทรัมป์ที่วิจารณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็กำลังสร้างข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของสถาบันการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อผู้นำสหรัฐฯ มีบทบาทสูงในการชี้นำทิศทางเศรษฐกิจ
รายงานล่าสุดของสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) ประเมินว่า กฎหมายลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ หรือที่ทรัมป์เรียกว่า One Big Beautiful Bill Act จะส่งผลให้ยอดขาดดุลของรัฐบาลกลางพุ่งขึ้นมากถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลา 10 ปี แม้จะช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจก็ตาม
ไต้หวันเองถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนสูงถึงกว่า 80% ของทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่รวม 5.9 แสนล้านดอลลาร์ โดยทางธนาคารกลางเคยย้ำเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ว่า สินทรัพย์ดังกล่าวยังถือว่ามั่นคงและได้รับความนิยมจากนักลงทุน และยังไม่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลก
อย่างไรก็ดี หยางเตือนว่า นโยบายการค้าในสมัยที่สองของทรัมป์ กำลังทำให้นักลงทุนเริ่มลังเลที่จะถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ขณะที่แผนงบประมาณล่าสุดของรัฐบาลทรัมป์อาจนำไปสู่การขยายตัวของหนี้สาธารณะที่เร็วเกินควร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมของสินทรัพย์หนี้ของสหรัฐฯ ในระยะยาว
ทั้งนี้ เมื่อทรัมป์รับตำแหน่งในช่วงต้นปี เขาได้เดินหน้านโยบายภาษีนำเข้าต่อประเทศต่าง ๆ รวมถึงไต้หวัน ก่อนระงับใช้มาตรการบางส่วนเป็นเวลา 90 วันในเดือนเม.ย. เพื่อเปิดทางให้การเจรจาดำเนินต่อไป
หยางระบุว่า แม้ทรัมป์คาดหวังว่านโยบายภาษีจะสามารถแก้ปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ได้ แต่ในความเป็นจริง มาตรการเหล่านี้กลับสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ และอาจแรงสั่นสะเทือนต่อแนวโน้มการค้าโลกในอนาคตด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 มิ.ย. 68)