
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์ (27 มิ.ย.) โดยฟื้นตัวขึ้นหลังร่วงลงไปอยู่ในแดนลบจากรายงานที่ว่ากลุ่มโอเปกพลัสวางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนส.ค. อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันร่วงลงประมาณ 12% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 28 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ 65.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 4 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 67.77 ดอลลาร์/บาร์เรล
ผู้แทน 4 รายจากกลุ่มโอเปกพลัสเปิดเผยว่า ทางกลุ่มมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนส.ค. หลังจากได้วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตในระดับใกล้เคียงกันไว้แล้วสำหรับเดือนก.ค.
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า เมื่อรายงานเกี่ยวกับการเพิ่มกำลังผลิตของโอเปกออกมา ราคาน้ำมันก็ร่วงลงทันที
ในช่วงสงครามนาน 12 วันซึ่งเริ่มขึ้นหลังจากอิสราเอลโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นเหนือระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะร่วงลงมาเหลือประมาณ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศการหยุดยิงระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดแทบจะเลิกสนใจความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เคยมีเมื่อเกือบหนึ่งสัปดาห์ก่อน และกำลังกลับเข้าสู่ตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐาน
นักวิเคราะห์ระบุว่า ความคาดหวังว่าจะมีความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นในเดือนต่อ ๆ ไปได้ช่วยหนุนราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากรายงานปริมาณน้ำมันคงคลังหลายฉบับที่แสดงให้เห็นว่าปริมาณน้ำมันกลั่นลดลงอย่างมาก
ข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อวันพุธแสดงให้เห็นว่า ปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงในสัปดาห์ก่อน หลังจากมีกิจกรรมการกลั่นและความต้องการเพิ่มขึ้น
ส่วนจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดล่วงหน้าของการผลิตในอนาคต ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สี่ และอยู่ที่ระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนต.ค. 2564
บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ส (Baker Hughes) รายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลง 6 แท่น เหลือ 432 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2564
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 มิ.ย. 68)