ผลสำรวจของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่เปิดเผยในวันนี้ (21 ก.ค.) ระบุว่า ความตึงเครียดทางการค้ากำลังกดดันผลกำไรของบริษัทในยูโรโซน และทำให้ต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน แม้ว่าภาพรวมความเชื่อมั่นต่อการเติบโตในอนาคตจะยังคงเป็นบวกก็ตาม
ผลสำรวจพบว่า ผลกำไรของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ทั้งนี้ บริษัทประมาณ 30% ระบุว่า ความตึงเครียดทางการค้าเป็นปัจจัยหลักที่น่ากังวล ซึ่งส่งผลกระทบต่อความล่าช้าในห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนสินค้า
“บริษัทส่วนใหญ่รายงานว่าได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าไม่มากก็น้อย โดยกลุ่มที่เผชิญผลกระทบหนักที่สุดคือบริษัทที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ และบริษัทในภาคการผลิต” ECB ระบุในรายงาน
อย่างไรก็ดี แม้จะเผชิญแรงกดดันดังกล่าว รายงานกลับชี้ว่ามีบริษัทสุทธิ 23% ที่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางธุรกิจในไตรมาสหน้า ขณะที่บริษัทสุทธิ 8% รายงานว่ายอดขายในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้น
ECB กล่าวเสริมว่า เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทต่าง ๆ กำลังปรับตัวโดยหันไปมุ่งเน้นตลาดในประเทศและในสหภาพยุโรป (EU) มากขึ้น พร้อมทั้งมองหาซัพพลายเออร์รายใหม่เพื่อปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน
ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า แม้การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่บริษัทต่าง ๆ ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของราคาในระยะ 1 ปีข้างหน้าลงเหลือ 2.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.9%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ค. 68)
