
รายงานจากบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg IntelligenceI) และทราเวล แอนด์ ทัวร์ เวิลด์ (Travel and Tour World) ที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (24 ก.ค.) ระบุว่า ร้านค้าปลีกในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเผชิญความสูญเสียอย่างหนัก เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงอย่างมาก โดยคาดว่ามูลค่าการขายปลีกจะหายไปถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้
รายงานระบุว่า แบรนด์หรูและร้านค้าปลีกชื่อดังในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส และชิคาโก ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากเดิมที เมืองเหล่านี้พึ่งพาการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะในหมวดเสื้อผ้า อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าหรูหรา
ผู้เชี่ยวชาญด้านค้าปลีกชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง มาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศตลาดหลัก ๆ ทำให้กำลังซื้อลดลง ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวลังเลที่จะใช้จ่ายในสหรัฐฯ
ทราเวล แอนด์ ทัวร์ เวิลด์ ระบุว่า เพียงนิวยอร์กซิตีเพียงเมืองเดียว คาดว่าจะสูญเสียรายได้จากการค้าปลีกราว 4 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ลอสแอนเจลิสอาจสูญอีกราว 2 พันล้านดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนแนวโน้มการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หลังจากหดตัวลงอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 โดยนักวิเคราะห์ในรายงานของบลูมเบิร์กเตือนว่า แนวโน้มนี้อาจยืดเยื้อไปจนถึงปี 2569 หากภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ผู้ค้าปลีกบางรายเริ่มปรับกลยุทธ์หันมาเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศมากขึ้น ด้วยการจัดโปรโมชันและโปรแกรมสะสมคะแนน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เตือนว่า มาตรการดังกล่าวอาจยังไม่สามารถทดแทนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ทั้งหมด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ค. 68)