ดัชนี MPI มิ.ย. ขยายตัว 0.58%YoY บวกต่อเนื่องเดือนที่ 3 อานิสงส์อุตฯ ยานยนต์ฟื้น-ส่งออกโตต่อเนื่อง

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิ.ย. 68 อยู่ที่ระดับ 97.35 ขยายตัว 0.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเดือนที่ 3 ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) เดือน มิ.ย. 68 อยู่ที่ 59.58% ขณะที่ไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 58.99% ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ไตรมาส 2/68 อยู่ที่ระดับ 96.75 ขยายตัว 1.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยสนับสนุนหลักต่อภาคการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ 17.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการคุณสู้เราช่วยที่ขยายเวลาลงทะเบียน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) การค้าระหว่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง มีมูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 15.0% เป็นเดือนที่ 12 เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก่อนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า

อย่างไรก็ตาม ความไม่ชัดเจนของผลการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังคงกดดันภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศคู่แข่งสำคัญทางการค้าสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิ.ย. 68 ปรับตัวลดลง โดยมีปัจจัยหลักจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การทะลักของสินค้าต่างประเทศ และเงินบาทที่แข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น การบริโภคภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของสินค้าอุตสาหกรรมโดยรวม นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวมีการชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อ MPI เดือนมิ.ย. 68 ได้แก่

– ยานยนต์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17.02% จากผลิตภัณฑ์รถยนต์นั่งไฮบริดขนาดใหญ่ รถยนต์ไฮบริดขนาดเล็ก และรถยนต์ไฟฟ้า เป็นหลัก ตามกระแสความนิยมและความต้องการของตลาด ในขณะที่รถบรรทุกปิคอัพขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและส่งออก

– ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.18% จากผลิตภัณฑ์ PCBA, Integrated Circuits (IC) และ semiconductor devices เป็นหลัก ตามการขยายตัวของตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลก ประกอบกับเร่งส่งออกไปสหรัฐอเมริกา

– น้ำมันปาล์ม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.84% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก เนื่องจากปริมาณผลปาล์มออกสู่ตลาดมากขึ้นและมีคำสั่งซื้อจากอินเดีย จีน และเมียนมาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดส่งออกขยายตัว

อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อ MPI เดือนมิ.ย. 68 ได้แก่

– เครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.17% จากผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก เนื่องจากลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อจากภาวะเศรษฐกิจ

– ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.15% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเบนซิน 91 และ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็นหลัก จากการชะลอตัวของการท่องเที่ยว ประกอบกับการใช้ยานยนต์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น

– เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์น้ำแร่และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่น ๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.97% จากผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมและเครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูป เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุง รวมทั้งมีผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวต่อเนื่องกว่า 6 เดือน

แนวโน้ม MPI เดือนก.ค. ขยายตัวยาก จ่อปรับประมาณการ

สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนก.ค. 68 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยในประเทศชะลอตัวลงตามการลงทุนภาคเอกชน และการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางที่ปรับลดลง รวมถึงความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อที่ยังคงมีสภาวะแย่ลง ด้านปัจจัยต่างประเทศ ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ ภาคการผลิต และความต้องการสินค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง

“แนวโน้มดัชนี MPI มองว่าการขยายตัวต่อเนื่องในเดือนก.ค. อาจจะเป็นไปได้ยากแล้ว เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาไทยได้อานิสงส์จากการสั่งซื้อล่วงหน้าโดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ไปค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ต้องดูว่าสุดท้ายไทยจะโดนภาษีสหรัฐฯ ที่เท่าไร และจะสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงรัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร โดยหลังจากมีความชัดเจนเรื่องการเจรจาภาษี เดือนหน้าจะมีการแถลงผลกระทบทั้งต่อ GDP การส่งออก และ MPI ซึ่งล่าสุดที่สศอ. ได้ปรับคาดการณ์ MPI ปี 68 อยู่ที่ 0-1% คาดว่าในเดือนหน้าคาดว่าจะมีการปรับประมาณการ MPI อีกครั้ง สำหรับ MPI เฉลี่ยในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 98.47% ส่วนในครึ่งปีหลังมองว่าน่าจะค่อนข้างผันผวน เนื่องจากไทยเจอหลายปัจจัยรอบด้าน ทั้งสงครามความขัดแย้ง และสงครามการค้า” นายภาสกร กล่าว

สินค้าส่งออกไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ แบ่งเป็น

– สินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, ชิป, ฮาร์ดดิกส์ไดรฟ์ และ ยา, เวชภัณฑ์ คิดเป็นสัดส่วน 53.46%

– สินค้าที่อาจมีการสวมสิทธิ์ เช่น ยางล้อ, เครื่องปรับอากาศ และปลั๊กไฟ คิดเป็นสัดส่วน 9.74%

– สินค้าอื่น ๆ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องประดับ อาหารสัตว์ ปลาทูน่ากระป๋อง และถุงมือยาง คิดเป็นสัดส่วน 36.80%

นายภาสกร กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยยังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าส่งออกหลักของไทยที่ผู้ผลิตหลักเป็น SMEs มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ อัญมณี อาหารสัตว์เลี้ยง ปลาทูน่ากระป๋อง และถุงมือยาง

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เร่งรับมือด้วยการสนับสนุนให้ใช้สินค้าไทยในประเทศผ่านมาตรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพิ่มแรงจูงใจให้เอกชนใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ส่งเสริมการรับรองคุณภาพสินค้า เช่น การออกใบ certificate ให้กับพลอยเจียระไนและเครื่องประดับไทย ขยายตลาดทดแทนในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ตลอดจนผลักดันสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ เครื่องประดับ “Luxury Thai Brand” และถุงมือยางชนิดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิมและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว

ปัญหาไทย-กัมพูชา กระทบส่งออกชายแดนลดลง 6 หมื่นลบ.-แรงงานหาย

สำหรับปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทยและกัมพูชา จากผลกระทบจากการปิดชายแดน คาดว่าจะส่งผลให้ภาคการส่งออกระหว่างไทยกัมพูชาลดลงประมาณ 60,000 ล้านบาท และส่งผลกระทบกับแรงงานในไทย ที่ปัจจุบันมีจำนวนแรงงานกัมพูชาทั้งหมดประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งมีใบอนุญาตที่ถูกกฎหมาย 5 แสนคน

อย่างไรก็ดี ถ้าเหตุการณ์ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อเนื่อง และแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ เชื่อว่าภาคเอกชนจะหาแรงงานสัญชาติอื่นมาทดแทนได้ โดยสาขาที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ การก่อสร้าง ค้าส่งค้าปลีก และกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ การเกษตร และปศุสัตว์ ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวล่าสุดยังไม่ได้รับผลกระทบมาก มีการยกเลิกเดินทางเพียง 8,000 ราย

“ในปี 67 การค้าชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 174,000 ล้านบาท ส่งออกที่ 140,000 ล้านบาท นำเข้า 32,000 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้าประมาณ 1 แสนล้านบาท ส่วนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 68 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 80,000 ล้านบาท ส่งออกที่ 63,000 ล้านบาท นำเข้า 17,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าไทยยังได้ดุลการค้า” นายภาสกร กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ค. 68)