
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้า และอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยผ่านรายการโทรทัศน์ ถึงกรณีที่มีผู้วิจารณ์ว่า “ภาษีทรัมป์” เป็นแค่ 1 ในหลายปัญหาของวิกฤติเศรษฐกิจไทย หรือเป็นเพียง “วิกฤติยกแรก” ของศรษฐกิจไทยเท่านั้น ว่า ตนเห็นด้วยบางส่วน เพราะเรื่องเศรษฐกิจมีความเกี่ยวข้องกับการค้าขาย ซึ่งประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันจากรอบด้าน ขณะเดียวกัน ยังต้องเผชิญกับปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดจนปัญหาการเมืองที่รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ดี เรื่องมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ (Reciprocal Tariff) ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าไทยไม่ได้ดีลตามอัตราภาษีที่ 19% นี้ หรือได้อัตราภาษีสูงกว่าประเทศเวียดนาม จะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
นายธนิต กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงาน ได้ทำโพลสำรวจความคิดเห็น โดยพบว่า ถ้าการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ไม่เป็นผล จะกระทบต่อภาคธุรกิจในระดับปานกลาง-รุนแรง 74% ซึ่งถือว่าเยอะมาก และแรงงานบางส่วนถูกปรับลด OT มีการเลิกจ้างแล้ว ดังนั้น ถ้าผลการเจรจาออกมาแล้ว ไทยโดนภาษีสูงกว่าเวียดนาม จะไม่สามารถแข่งขันได้ และมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ แรงงานหลายแสนคนจะมีปัญหา
ดังนั้นการที่ไทยได้อัตราภาษี 19% ถือเป็นดีลที่ดี เพราะเท่ากับมาเลเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และยังดีกว่าเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของไทย ทำให้สินค้าจากประเทศไทย จะสามารถแข่งขันด้านภาษีได้ระดับหนึ่ง
“เวียดนามเป็นคู่แข่งสำคัญของเรา สินค้าส่งออกของเราส่วนใหญ่ไม่มียี่ห้อ เป็นการรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งเจ้าของสินค้าสามารถเปลี่ยนไปจ้างผลิตที่ไหนก็ได้ ถ้าราคาแตกต่างกัน เช่น ปลากระป๋อง อาหารทะเล ของไทยก็ไม่มีแบรนด์ ส่วนใหญ่ที่พูดกันเป็นแบรนด์ของเขาหมด ดังนั้นโอกาสที่จะย้ายฐานมีมาก และจากที่คุยกับผู้ส่งออกต่างพูดตรงกันว่า order เดือนก.ค.เริ่มลดลง ซึ่งหากไทยเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ไม่สำเร็จ order จะยิ่งหายไปมากกว่านี้ ดังนั้น การเจรจาปิดดีลที่ 19% จึงถือว่าช่วยเรื่องการส่งออกไทยได้มาก ช่วยเรื่องการแข่งขันได้ระดับหนึ่ง เพราะถ้าวันนี้เป็น 25% มันพัง” นายธนิต กล่าว
พร้อมระบุว่า จะต้องมาพิจารณาในรายละเอียดด้วยว่าจากข้อตกลงดังกล่าว ไทยได้ให้ข้อเสนออะไรกับสหรัฐฯ บ้าง หรือมีอะไรไปแลกกับสหรัฐฯ บ้าง เพราะคงจะไม่ใช่ Win-Win เหมือนที่รัฐบาลบอกไว้ก่อนหน้านี้
“ตอนนี้ต้องรอดู ยังไม่ว่ารู้ว่าเราให้อะไรเขาบ้าง เพราะแต่ละประเทศที่เขา ก็ประเคนให้ทั้งนั้น ต้องดูว่าที่เขาบอกว่า 90% จะต่อให้ 100% เอาหมู เอาไก่ของเขาเข้ามา และเรื่อง BOI ขอ Fast Track เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้เราไม่รู้ว่าไปแลกอะไร เราไป commit อะไร” นายธนิต กล่าว
นอกจากสิ่งสำคัญคือไทยเอาอะไรไปแลกกับสหรัฐแล้ว ต้องดูว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาเป็นอย่างไร เช่น ต่อเกษตรกร และจะภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจะมีแนวทางในการปรับตัวรับมืออย่างไร
“เรื่องหมู เรื่องไก่ที่เอาไปแลก มีผลกระทบต่อเกษตรกร 2 ล้านครัวเรือน ซึ่งไม่น้อย อย่าไปคิดว่า 19% แล้วมันจะดีนะ เพราะกำลังซื้อในสหรัฐฯ เดิมเขาไม่เคยเสีย (เสียภาษีเพิ่ม) และเราต้องเสียภาษีเพิ่ม และทั้งโลกเจอเหมือนกันหมด ดังนั้น กำลังซื้อเขาจะหายไป และขณะนี้เริ่มลดลงแล้ว และเป็นภาระของผู้นำเข้าของเขา แล้วมาอัดอยู่ที่ผู้ส่งออกไทย…ตอนนี้ภาษี 19% แม้จะลดกันคนละครึ่ง ก็เจ๊งแล้ว เพราะส่งออกกำไร 5-6% เท่านั้นใน net profit กำไรไม่ได้เยอะ” นายธนิต กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ส.ค. 68)