
Bloomberg Economics เปิดเผยว่า มาตรการเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่าง 10% ถึง 41% และนับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะส่งผลกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงกระตุ้นเงินเฟ้อ และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก
ในระดับโลกนั้น การจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นอาจกระทบต่ออุปสงค์ของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ และสร้างความเสี่ยงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและระดับราคาสินค้า ขณะที่บางประเทศได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะจีนที่ยังต้องเผชิญภาษีหลายรายการ รวมถึงภาษี 20% ที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล และสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเผชิญภาษีตอบโต้สูงถึง 39% มากกว่าระดับที่เคยประกาศเมื่อ 2 เม.ย.
เมวา คูแซง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์การค้าของ Bloomberg Economics ประเมินว่า อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในปี 2567 เป็น 15.2% ซึ่งอาจส่งผลให้ GDP สหรัฐฯ หดตัวลง 1.8% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.1% ภายในระยะเวลา 2-3 ปี
รายงานระบุว่า ผลกระทบโดยรวมยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสามารถของภาคธุรกิจในการดูดซับต้นทุนผ่านกำไร และระดับที่ต้นทุนจะถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภค ขณะที่สมมุติฐานในแบบจำลองเศรษฐกิจยังตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่ามาตรการภาษีจะถูกบังคับใช้ตามที่ประกาศ และข้อตกลงภาษีนำเข้ารถยนต์กับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จะยังมีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่บางประเทศจะสามารถเจรจาเพื่อผ่อนปรนอัตราภาษีได้ เนื่องจากมาตรการใหม่จะมีผลในอีก 7 วันข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในการต่อรองเงื่อนไขต่าง ๆ ก่อนที่การเก็บภาษีจะมีผลจริง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ส.ค. 68)