
บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] ระบุว่าภายหลังการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยโดยสหรัฐฯ ในอัตรา 19% เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 บริษัทปรับประมาณการเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 ใหม่ โดยคาดว่ายอดขายจะติดลบ 1-2% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบ โตได้ราว 1-3%
TU ระบุว่าเมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10% กับทุกประเทศ โดยมีผลบังคับ ใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.68 แม้ว่าภาษีศุลกากร (Reciprocal tariff) ของประเทศอื่น ๆ จะกำหนดให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. ในตอนแรก แต่ภาษีดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกหลายแห่ง และเพิ่มความผันผวนในตลาด อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนี่ยนเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายดังกล่าว บริษัทฯ จึงได้ ปรับประมาณการเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 เพื่อสะท้อนผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
และเมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% ซึ่งแม้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ แต่ช่วยให้เกิดความชัดเจนและผ่อนคลายความกังวลจากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่อาจสูงกว่าอัตรานี้ มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมของไทยยูเนี่ยน โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 68 ให้สะท้อนผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยใช้การคิดอัตรา ภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ช่วงเดือน เม.ย.-ก.ค. และ 19% ในช่วงเดือน ส.ค.-ธ.ค.68
เป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 | อัตราภาษีนำเข้าที่ 10% (เม.ย. – ธ.ค.) | อัตราภาษีนำเข้าที่ 10% (เม.ย. – ก.ค.) อัตราภาษีนำเข้าที่ 19% (ส.ค. – ธ.ค.) |
---|---|---|
ยอดขายเติบโต | +1 ถึง 3% จากปีก่อน | -1 ถึง -2% จากปีก่อน |
อัตรากำไรขั้นต้น | ประมาณ 18.0 ถึง 19.0% | ประมาณ 18.5 ถึง 19.5% |
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย | ประมาณ 13.5 ถึง 14.0% | ประมาณ 13.5 ถึง 14.0% |
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง | ไม่เปลี่ยนแปลง | |
งบลงทุน | ประมาณ 3.0 ถึง 3.5 พันล้านบาท | ประมาณ 3.5 ถึง 4.0 พันล้านบาท |
อัตราการจ่ายเงินปันผล | ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ |
พร้อมชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 โดยระบุว่าถือเป็นช่วงเวลาที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนทางภูมิ รัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี TU มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนการบริหารต้นทุนอย่างมี ประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาวให้กับธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ รายงานยอดขายที่ 33,389 ล้านบาท ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากผลกระทบเชิงลบจาก อัตราแลกเปลี่ยน 4.7% และยอดขายจากการดำเนินงานปกติที่ลดลงเล็กน้อย 0.7% โดยมีสาเหตุจากความต้องการซื้อที่ชะลอตัวลงในกลุ่ม ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง อย่างไรก็ดี ยอดขายจากการดำเนินงานปกติในกลุ่มธุรกิจอื่น ได้แก่ ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
อัตรากำไรขั้นต้นยังคงแข็งแกร่ง โดยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.7% เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน และอยู่ใน ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
กำไรจากการดำเนินงานตามที่ปรับปรุง (ไม่รวม transformation costs) อยู่ที่ 2,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เอื้อต่อการดำเนินงาน
กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุง (ไม่รวม transformation costs) อยู่ที่ 1,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนในขณะที่กำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 1,273 ล้านบาท
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาสสอง พบว่ายอดขายขยายตัว ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน 4.7% และการชะลอตัวของยอดขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ยอดขายในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง นั้น ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 16,597 ล้านบาท และปริมาณการขายยังคงทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 22% จากราคาวัตถุดิบปลาที่ลดลง และความสำเร็จจากแคมเปญส่งเสริมการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ ของ บริษัท
ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 10,034 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการกุ้งในตลาดสหรัฐลดลง อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจที่ 11.7% ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขาย รวม 4,387 ล้านบาท ปริมาณการขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต้องการของลูกค้ารายสำคัญในสหรัฐฯ อัตรากำไรขั้นต้น อยู่ในระดับที่ดีที่ 25.6% และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายรวม 2,371 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังคงความแข็งแกร่งที่ 26.3% จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต
ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 ส.ค. บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิต ใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี ซึ่งโรงงานของ TU ในประเทศไทย กานา และเซเชลส์ นั้นได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19%, 15% และ 10% ตามลำดับ ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น อินโดนีเซีย (19%) และ เวียดนาม (20%)
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98% ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 68)