TU แจง”มิตซูบิชิ”ขอถือหุ้นเพิ่มเป็น 20% ไม่ใช่เทคโอเวอร์ แค่เป็น Strategic Partner หนุนโต

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] เปิดเผยว่าจากการที่ Mitsubishi Corporation ขอซื้อหุ้นเพิ่มเป็น 20% ของหุ้นทั้งหมด จากเดิมถืออยู่ราว 6.2% เป็นการลงทุนในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน พร้อมยืนยันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของการบริหารธุรกิจหรือทีมผู้บริหารและ สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นหลักแต่อย่างใด

“จริง ๆ ไม่มีอะไรต้อง Panic ยืนยันว่านี่เป็นธุรกิจที่เราสร้างมาเกือบ 50 ปี ผลการดำเนินงานเรายังดีอยู่ เราไม่ได้เป็นบริษัทที่มีปัญหา ยังมีความมั่นใจในธุรกิจของเรา…ในแง่ของโครงสร้างผู้ถือหุ้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไป มีเพียงแค่ Mitsubishi เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นขึ้นจาก 6.2% เป็น 20% แต่ในส่วนของผู้ถือหุ้นหลักเดิมของเรายังคงรักษาสัดส่วนเหมือนเดิม”นายธีรพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ Mitsubishi Corporation เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทเก่าแก่ดั้งเดิมมาเป็นเวลากว่า 30 ปี และตัวแทน 1 คนอยู่ในคณะกรรมการของบริษัทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยบริษัทได้มีการพูดคุยกับ Mitsubishi ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เนื่องจากมองว่า TU มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนานและเป็นพาร์ทเนอร์ทางกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยเฉพาะในธุรกิจกลุ่มอาหารทะเล รวมทั้ง TU ยังมีเครือข่ายระดับโลกจากการพัฒนาขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง จึงมีความสนใจเข้าลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเดิมการถือหุ้นนสัดส่วน 5-6% จะรับรู้เพียงเงินปันผล จึงต้องเพิ่มการลงทุนทำให้รับรู้กำไรขาดทุนของ TU ได้ทันที นอกจากนี้การร่วมถือหุ้นจะทำให้ Mitsubishi สามารถใช้เครือข่ายช่วยพัฒนาธุรกิจของ TU ได้มากขึ้น

นอกจากนี้จากที่มีการแจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ Mitsubishi แสดงเจตจำนงค์ซื้อหุ้นเพิ่มจาก 6.20% เป็นไม่เป็น 20% แม้หลังการทำ Tender Offer มิตซูบิชิจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียว (Single Shareholder) ที่ใหญ่ที่สุด แต่หากนับรวมกลุ่มครอบครัว “จันศิริ” จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มใหญ่สุดเช่นเดิม และโครงสร้างการบริหารงานจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยคณะกรรมการจาก Mitsubishi จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 คนเท่านั้น

“เขาลงทุนในไทยยูเนี่ยนเพราะมีความเชื่อมั่นในผู้บริหาร บริษัทของเราเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ยังค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นเนี่ยไม่มีเหตุอะไรที่เค้าอยากจะมาลงทุนเพื่อเปลี่ยนการบริหารจัดการหรือแนวทางการบริหารของเรา”นายธีรพงศ์ กล่าว

หลังจากนี้ TU คาดว่าจะมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับ Mitsubishi มากขึ้น รวมทั้งหาโอกาสในการขยายธุรกิจร่วมกัน ซึ่งจะเน้นการนำจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัทมาพัฒนา โดย Mitsubishi มีความแข็งแกร่งมากในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในธุรกิจอาหารทะเล ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสในการขยายตลาดนอกเหนือญี่ปุ่น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในความสนใจมาก

นอกจากนี้ Mitsubishi ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นอย่าง Lawson อีกทั้งยังเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ซึ่งบริษัทยังไม่มีการทำการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงกับ Mitsubishi หวังว่าจะสามารถขยายธุรกิจดังกล่าวในญี่ปุ่นได้มากขึ้น

โดย TU มีความพร้อมที่จะเริ่มงานงามร่วมกันทันที คาดว่าในครึ่งปีหลังจะเห็นความร่วมมือกัน แต่จะเห็นผลของความร่วมมือมากยิ่งขึ้นในปีถัดไป ขณะที่แผนงานของ TU ยังคมุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจ โดยบริษัทยังคงมองหาพื้นที่ในการขยายธุรกิจภายหลังจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น เพียงแต่ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่แข็งค่ามาก ทำให้อาจเห็นว่าการเติบโตไม่ได้เพิ่มขึ้น

ขณะที่อัตราภาษีที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ในอัตรา 19% ยืนยันว่าความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยยังคงเหมือนเดิม เพราะเราไม่ได้สูงกว่าประเทศคู่แข่งทางการค้าอื่นๆ และดีกว่าในบางประเทศ โดยเฉพาะในธุรกิจของกุ้งแช่แข็ง หากดูรายละเอียดจะเห็นว่าในบางประเทศ อาทิ อินเดีย เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย เมีเรื่องของ Anti-dumping เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ภาษีโดยรวมไทยอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด อย่างไรก็ตามต้องติดตามผลกระทบกำลังซื้อในสหรัฐจากมาตรการภาษีทำให้สินค้าในประเทศสูงขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป

นายธีรพงศ์ กล่าวถึงโอกาสที่นักลงทุ่นต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้น TU เพิ่มว่า ก่อนหน้านี้มีกองทุนต่าง ๆ เข้ามาคุยกับบริษัทค่อนข้างมาก แต่ช่วงที่ผ่านมาสัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะต่างชาติลดลงไปค่อนข้างมาก จากความไม่ชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทำให้ Valuation ของบริษัทรวมทั้งบริษัทจดทะเบียนอื่น ๆ ในตลาดหุ้นไทยต่ำมากที่สุดในภูมิภาค ซึ่งน่าจะทำให้เกิดความสนใจของกองทุนต่าง ๆ ได้มากขึ้น ประกอบกับเมื่อมีความชัดเจนของมาตรการภาษี อาจทำให้กองทุนต่างๆกลับมาพิจารณาทบทวนและให้ความสนใจลงทุน แต่ ณ วันนี้บริษัทยังไม่สามารถตอบได้ว่ามีความสนใจมากน้อยเท่าไหร่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 68)