BCP แจงพลิกขาดทุนจากเผชิญมรสุมเศรษฐกิจ ยันธุรกิจหลักแกร่ง กำลังผลิตโรงกลั่นพุ่ง-ตรึงมาร์เก็ตแชร์ได้

กลุ่ม บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น [BCP] รายงานผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 68 มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 260,474 ล้านบาท ลดลง 11% YoY และ EBITDA อยู่ที่ 16,331 ล้านบาท ลดลง 37% YoY โดยมีผลขาดทุนส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 445 ล้านบาท ลดลง -3% YoY ซึ่งแม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนท่ามกลางราคาน้ำมันที่ปรับลดลงต่อเนื่องและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่ก็ยังคงสามารถรักษาระดับการดำเนินงานได้ในกลุ่มธุรกิจหลัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันที่มีกำลังการผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกลุ่มธุรกิจการตลาดที่ยังรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ต่อเนื่อง

ขณะที่ไตรมาส 2/68 กลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 125,827 ล้านบาท (-7% QoQ, -20% YoY) และ EBITDA 3,664 ล้านบาท (-71% QoQ, -66% YoY) และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 1,247 ล้านบาท (-29% QoQ, +>100% YoY) ขาดทุนส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,560 ล้านบาท พลิกขาดทุนจากไตรมาส 1/68 ที่มีกำไร 2,115 ล้านบาท และไตรมาส 2/67กำไร 1,824 ล้านบาท

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม BCP และกรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP กล่าวว่า แม้ในช่วงครึ่งปีแรก บางจากฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่บริษัทฯ ยังสามารถทำกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) จากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันและกลุ่มธุรกิจการตลาด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้หลักของบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

และการบูรณาการกับ บมจ.บางจาก ศรีราชา [BSRC] ที่ดำเนินไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งบริษัท BCPT FZCO ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจการค้าน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ขณะเดียวกัน การที่บางจากฯ ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนี SET50 อย่างต่อเนื่อง และได้รับการจัดอันดับที่ 17 จาก 500 บริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยนิตยสาร Fortune ในปี 2568 สูงขึ้นจากอันดับ 24 ในปีก่อน ยังสะท้อนศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว”

ผลการดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 68 ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ดังนี้

  • กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA อยู่ที่ 1,399 ล้านบาท ลดลงจาก 6,570 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าการกลั่นพื้นฐาน (Operating GRM) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 4.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากส่วนต่างราคาน้ำมัน (Crack Spread) ที่อ่อนตัวลงในทุกผลิตภัณฑ์ ประกอบกับการรับรู้ผลขาดทุนจาก Inventory Loss และการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) รวม 3,750 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ต่ำกว่าน้ำมันดิบดูไบในช่วงเวลาดังกล่าว และต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลงในภาพรวม ช่วยลดแรงกดดันจากค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงได้บางส่วน โดยมีกำลังการผลิตเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกรวมอยู่ที่ 254,900 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนงสามารถเดินเครื่องเต็มกำลังโดยไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนงานเช่นเดียวกับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567
  • กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 3,022 ล้านบาท ลดลงจาก 3,977 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 67 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไว้ได้ที่ระดับประมาณ 29% สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเครือข่ายและคุณภาพการให้บริการ
  • กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มี EBITDA อยู่ที่ 1,881 ล้านบาท ลดลงจาก 2,424 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบของการสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย และการจำหน่ายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 9 โครงการในเดือน มิ.ย.67
  • กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA อยู่ที่ 380 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจาก 493 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานผลิตเอทานอลในไตรมาส 1/68 ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกากน้ำตาลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล ขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ยังคงทรงตัวใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ผลประกอบการในภาพรวมของธุรกิจปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 67
  • กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA อยู่ที่ 10,128 ล้านบาท ลดลง 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 13,074 ล้านบาท โดยได้รับผลกระทบจากราคาขายน้ำมันเฉลี่ยที่ปรับลดลงตามแนวโน้มราคาตลาดโลก และปริมาณการจำหน่ายที่ลดลงจากการรับรู้ผลกระทบเต็มครึ่งปีจากการจำหน่ายแหล่งผลิต Yme เมื่อปลายปี 2567 อย่างไรก็ดี OKEA ได้ปรับเพิ่มประมาณการการผลิตเป็น 30,000-32,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ในปี 68 และ 31,000-35,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 69 จากแหล่งผลิตปิโตรเลียมที่สามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้เพิ่มขึ้น

โดยในไตรมาส 2/68 กลุ่ม BCP มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 125,827 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 3,664 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,247 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมผลกระทบจาก Inventory Loss และขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ กลุ่มบริษัทบางจากมีผลขาดทุนสุทธิ 2,560 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 1.86 บาทโดยผลประกอบการได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงเป็นหลัก

ณ วันที่ 30 มิ.ย.68 กลุ่มบริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวม 30,215 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 310,702 ล้านบาท หนี้สินรวม 228,247 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 82,455 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.19 เท่า

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ส.ค. 68)