
ศาลสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างศูนย์กักกันผู้อพยพที่เป็นประเด็นขัดแย้งในเขตอุทยานแห่งชาติเอเวอร์เกลดส์ รัฐฟลอริดา เป็นการชั่วคราว ขณะที่การฟ้องร้องเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังคงดำเนินอยู่
ระหว่างการไต่สวนที่เมืองไมอามี เมื่อวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) ผู้พิพากษาศาลแขวง แคธลีน วิลเลียมส์ ได้ออกคำสั่งห้ามการก่อสร้างใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 12 ส.ค. อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานปัจจุบันของศูนย์ฯ หรือการทำงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
ศูนย์กักกันแห่งนี้ ซึ่งถูกขนานนามว่า “อัลคาทราซจระเข้” (Alligator Alcatraz) ถือเป็นสัญลักษณ์ของนโยบายคนเข้าเมืองอันแข็งกร้าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคำตัดสินครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อความพยายามของรัฐบาลที่จะเพิ่มการเนรเทศผู้คนออกนอกประเทศ
“นี่เป็นอีกหนึ่งความพยายามเพื่อขัดขวางท่านประธานาธิบดีไม่ให้ทำตามเจตนารมณ์ของประชาชนชาวอเมริกันที่ต้องการให้มีการเนรเทศครั้งใหญ่” ทริเซีย แมคลาฟลิน โฆษกกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ระบุในแถลงการณ์วิจารณ์การฟ้องร้องดังกล่าว
ด้านกลุ่มนักรณรงค์ ซึ่งรวมถึงกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง โต้แย้งว่าการก่อสร้างนี้คุกคามระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำอันเปราะบาง สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ และเส้นทางน้ำที่สำคัญยิ่ง
นอกเหนือจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โครงการซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเพื่อกักขังผู้คนได้ถึง 5,000 คน ยังเผชิญเสียงวิจารณ์ว่าไร้มนุษยธรรมและเป็นอันตรายต่อผู้ถูกกักกัน โดยสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) กำลังดำเนินคดีทางกฎหมายอีกคดีหนึ่งเพื่อยับยั้งการเนรเทศจากศูนย์ฯ แห่งนี้ เนื่องจากผู้อพยพถูกควบคุมตัวโดยไม่มีการตั้งข้อหา และถูกปฏิเสธสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการปรึกษาทนายความ
ปธน.ทรัมป์ ซึ่งมีบ้านพักในฟลอริดา เคยให้คำมั่นระหว่างการหาเสียงว่าจะเนรเทศผู้คนให้ได้ถึงปีละหนึ่งล้านคน แต่ความพยายามของเขาเผชิญกับการประท้วงใหญ่ ความท้าทายทางกฎหมาย และความต้องการแรงงานราคาถูกจากกลุ่มนายจ้าง
อนึ่ง ร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณฉบับสำคัญที่ ปธน.ทรัมป์ ลงนามเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะ 4 ปี เพื่อการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองและพรมแดนโดยเฉพาะ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)