ทางการจีนไม่ปลื้มชิป Nvidia H20 กำชับบริษัทในประเทศเลี่ยงใช้

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานโดยอ้างสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ทางการจีนได้กำชับให้บริษัทในประเทศหลีกเลี่ยงการใช้ชิป H20 ของอินวิเดีย (Nvidia) โดยได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังบริษัทหลายแห่ง พร้อมทั้งกำชับเป็นพิเศษว่าห้ามใช้ชิป H20 ของอินวิเดียสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือความมั่นคงของชาติ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของรัฐหรือเอกชนก็ตาม

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่สื่อของรัฐบาลจีนแสดงความกังวลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับชิป H20 โดยได้ออกมาแสดงความกังวลเรื่องช่องโหว่ (backdoor) ในชิปดังกล่าว ทั้งยังมองว่าชิปรุ่นนี้ไม่ได้ล้ำหน้าทางเทคโนโลยีหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ทั้งนี้ อินวิเดียได้พัฒนาชิป AI รุ่น H20 ขึ้นมาเพื่อตลาดจีนโดยเฉพาะ หลังจากที่สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดในการส่งออกชิป AI ขั้นสูงเมื่อปลายปี 2566 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งห้ามการขายชิปเหล่านี้ในเดือนเม.ย. เมื่อความตึงเครียดทางการค้ากับจีนเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามในเดือนก.ค.

ก่อนหน้านี้ สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ได้เรียกเจ้าหน้าที่ของบริษัทอินวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เข้าชี้แจงว่า ชิป AI รุ่น H20 ที่อินวิเดียจำหน่ายให้กับจีนนั้น มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงหรือไม่

ชิป AI ของอินวิเดียถูกกล่าวหาว่าก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงอย่างร้ายแรง ขณะที่สมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติบางคนของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ชิปขั้นสูงที่ส่งออกไปยังต่างประเทศต้องติดตั้งฟังก์ชัน “การติดตามและระบุตำแหน่ง” (tracking and positioning)

CAC ระบุในแถลงการณ์ว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เทคโนโลยี “การติดตามและระบุตำแหน่ง” และ “การปิดระบบจากระยะไกล” (remote shutdown) ของชิปอินวิเดีย ถือเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลให้กับจีน

อย่างไรก็ดี โฆษกของอินวิเดียกล่าวว่า “ความปลอดภัยทางไซเบอร์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรา อินวิเดียไม่ได้สร้าง ‘ช่องโหว่’ ในชิปของเราที่จะทำให้ใครก็ตามสามารถเข้าถึงหรือควบคุมชิปจากระยะไกลได้”

การตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นจากจีนอาจสร้างความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ในอีกด้านหนึ่งให้กับเจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดียที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างนโยบายด้านเซมิคอนดักเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ กับความต้องการที่จะขายสินค้าในตลาดจีนที่มีศักยภาพในการทำกำไร

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ส.ค. 68)