โกลเบล็ก คาดหุ้นไทย Sideway กรอบ 1,240-1,280 จุด จับตางบ บจ.-ราคาน้ำมัน แนะเก็งกำไรหุ้นเด่น MSCI

บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาส Sideway ออกข้างหลังวันหยุดยาว ประกอบกับนักลงทุนเกาะติดการประกาศผลการดำเนินงานของ บจ. และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง จึงให้กรอบดัชนีที่ 1,240-1,280 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนมีผลในวันที่ 26 ส.ค.นี้

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในสัปดาห์นี้มีโอกาส Sideway ออกข้างหลังเปิดตลาดจากหยุดยาว ประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่จะสิ้นสุดในช่วงกลางสัปดาห์นี้ (14 ส.ค.) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงต่อเนื่องกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงให้กรอบกรอบดัชนีที่ 1,240-1,280 จุด

อีกทั้ง Fed Watch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 95.2% ที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย.นี้ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 46.7% ในสัปดาห์ที่แล้ว และทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 5-4 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.0% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งเป็นภาพของการทยอยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศ

ขณะที่สถานการณ์ในประเทศทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนกรกฎาคม 2568 พบอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวที่ระดับ 81.06 นักลงทุนมองการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาได้แก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการปรับตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก

เช่นเดียวกับที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 68 มาอยู่ที่ 1.8-2.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.5-2.0% รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการส่งออกไทยปีนี้เป็น 2-3% จากเดิมติดลบ 0.5-0.3% จากความสำเร็จในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่ง Consensus ส่วนใหญ่ประเมินว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ จะเห็นกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย

อย่างไรก็ตาม ยังคงเฝ้าระวังปัจจัยลบที่ส่งผลเชิงจิตวิทยาการลงทุนจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ต่อเนื่อง อาทิ มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าหลายสิบประเทศ เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในวันพฤหัสบดีที่ 7 ส.ค. ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 50% ทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงที่สุดในรอบศตวรรษ และการประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์สูงถึง 100% แต่จะยกเว้นให้สำหรับบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนจะผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงว่า GDP สหรัฐฯ ขยายตัว 2.5% ใน Q2/68 หลังจากเศรษฐกิจขยายตัว 3% ใน Q2/68 และหดตัว 0.5% ใน Q1/68

นอกจากนี้ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้เช่นกัน อาทิ วันที่ 13 ส.ค. กำหนดการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2568, วันที่ 14 ส.ค. กำหนดส่งงบการเงินวันสุดท้ายประจำไตรมาส 2/68, สัปดาห์ที่ 3 สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยแถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย, ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม, วันที่ 18 ส.ค. สภาพัฒน์แถลง GDP ไตรมาส 2/68

ส่วนปัจจัยต่างประเทศ อาทิ วันที่ 13 ส.ค. สหรัฐฯ รายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 14 ส.ค. จีน รายงานยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนเดือนก.ค., อังกฤษ รายงาน GDP ไตรมาส 2/68 (ประมาณการเบื้องต้น), อียู รายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. และ GDP ไตรมาส 2/68 (ประมาณการครั้งที่ 2), สหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.

นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย GBS แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับน้ำหนักของ MSCI ซึ่งจะมีผลในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยไม่มีหุ้นที่เข้าคำนวณดัชนี MSCI Thailand ขณะที่มีหุ้นที่นำออกจากกลุ่มดัชนี ได้แก่ HMPRO, OR ส่วนดัชนี MSCI Global Small Cap มีหุ้นที่เข้าคำนวณ ได้แก่ KTC, HMPRO แนะนำซื้อเก็งกำไร โดยมีหุ้นที่นำออก ได้แก่ ICHI, SISB, TPIPL ซึ่งต้องระวังแรงขายทำกำไร

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ส.ค. 68)