TEGH มั่นใจปี 68 รายได้ All Time High แน่ ครึ่งปีแรกทะลุ 50% จากเป้า 2.2 หมื่นลบ.เดินหน้าดัน TEBP เข้า mai

นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ [TEGH] เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 68 มีทิศทางสดใส และมีโอกาสสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมียอดขายยางแท่งมาตรฐาน EUDR ที่เติบโตตามเป้าหมาย ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบยอดขายเพิ่มขึ้นและกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ ธุรกิจพลังงานทดแทนฯ ที่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นจากการขยายกำลังการผลิตไปเมื่อปลายปีที่แล้ว

นอกจากนี้ บริษัทยังพร้อมเดินหน้านำบริษัทย่อยคือ บมจ.ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ [TEBP] เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปลายปีนี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ Leading Green Energy Revolution: Pioneering the Net Zero Solution เพื่อสร้างโอกาสเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน

นางสาวสินีนุช กล่าวว่า การส่งออกสินค้ายางแท่งไปยังสหรัฐฯ ไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการขึ้นภาษี “Reciprocal Tariffs” ในอัตรา 19% ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 แต่อย่างใด เนื่องจากยางแท่งอยู่ในรายชื่อสินค้าที่ได้รับการยกเว้น อีกทั้ง TEGH มีฐานลูกค้ากระจายตัวทั่วทุกทวีป รวมถึงยังมีอุปสงค์ของยางแท่งมาตรฐาน EUDR ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลบริษัทฯในปีนี้ ทั้งในเชิงของปริมาณขายและอัตรากำไร

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/68 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้รวม 5,401.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,263.6 ล้านบาท หรือ 72.1% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 3,137.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 211.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.7 ล้านบาท หรือ 109.8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 100.8 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ทั้ง 3 สายธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์มดิบ และพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ รวมถึงมียอดขายยางแท่งตามมาตรฐาน EUDR เข้ามาเสริม โดยสัดส่วนรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติอยู่ที่ 86% ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 13% และธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ 1%

สำหรับในงวดหกเดือนแรกปี 68 มีรายได้รวม 11,068.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,229.2 ล้านบาท หรือ 61.8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 6,839.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 387.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223.3 ล้านบาท หรือ 135.9% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 164.2 ล้านบาท

“ผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากธุรกิจยางได้รับแรงหนุนจากความต้องการยาง EUDR ที่ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจปาล์มได้รับปัจจัยบวกจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และผลผลิตปาล์มที่ออกสู่ตลาดมากขึ้นตามฤดูกาล ส่วนครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยบวกจากหม้อนึ่งตัวใหม่ที่จะเริ่มเดินเครื่องได้อย่างเต็มที่มาเสริมอีก”

ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ ภายใต้การบริหารของ TEBP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ภาพรวมในปีนี้คาดว่าจะเห็นรายได้และกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังโครงการขยายกำลังการผลิต Biogas zone 3.1 สามารถรับรู้รายได้อย่างเต็มที่จากการขายก๊าซชีวภาพให้กับ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล [GGC] ซึ่งผูกสัญญายาว 7 ปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท โดยเริ่มซื้อขายในไตรมาสที่ 4/67

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ส.ค. 68)