MAGURO อวด Q2/68 กำไรทะยาน 149% สวนทางเศรษฐกิจซบ จ่อเปิดแบรนด์ใหม่ดันรายได้ทั้งปีโต 30% ตามเป้า

นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. มากุโระ กรุ๊ป [MAGURO] เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 สามารถต่อยอดความสำเร็จจากไตรมาส 1/68 โดยมีรายได้รวม 450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% และมีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 149 % จากกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกับปีก่อน

สำหรับงวดครึ่งปีแรก MAGURO มีรายได้รวม 862 ล้านบาท เติบโต 40% และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 96% เป็น 65 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทำรายได้ทั้งปี 68 ได้เติบโตตามเป้าหมาย 30% ตามแผนการดำเนินงานที่ได้วางไว้อย่างมีกลยุทธ์และรอบคอบ สอดรับกับสถานการณ์ที่มีความผันผวนเป็นอย่างยิ่ง

นายจักรกฤติ กล่าวว่า จากความท้าทายจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ภายในประเทศตั้งแต่ต้นปี 2568 ส่งผลโดยตรงต่อการชะลอตัวของธุรกิจร้านอาหาร บริษัทได้เตรียมแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับต่อสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้สามารถสร้างการเติบโตของรายได้ และผลกำไรได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้

ถึงแม้ว่าจะยังมีการชะลอตัวของยอดขายในร้านเดิม (SSSG) แต่คาดว่าแนวโน้มจะมีทิศทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงใช้แผนกลยุทธ์ในการบริหารควบคุมต้นทุนและรายจ่าย (Cost Contral) และแผนการตลาดที่กระตุ้นให้เกิดการบริโภคซ้ำทั้งในกลุ่มลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ อาทิ แคมเปญ Big Thanks Big Deal 10 ปี 10 โปรโมชัน ฉลองครบรอบ 10 ปี ร้าน MAGURO ที่นำเสนอเมนูระดับไฮเอนด์ในราคาคุ้มค่าที่เอื้อมถึง และ “สั่งได้ไม่อั้น มาหมุนเวียนให้บริการ โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในทุกเมนูตั้งแต่เริ่มต้นแคมเปญ

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้ากลยุทธ์ส่งมอบประสบการณ์มื้ออาหารที่ดีที่สุด ต่อยอดความสำเร็จจากการเปิด BINCHO ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างถ่านแบบญี่ปุ่น สาขาแรกที่เมกาบางนา โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และเตรียมเปิดแบรนด์ใหม่ KIWAMIYA ร้านแฮมเบิร์กและสเต็กเนื้อวากิวต้นตำรับจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ 7

KIWAMIYA เป็นแบรนด์ยอดนิยมจากเมืองฟุกุโอกะประเทศญี่ปุ่น มีจุดเด่นคือ “คุณภาพของวัตถุดิบ” และ “ความสนุกในการย่างเอง” ด้วยการเสิร์ฟแฮมเบิร์ก เนื้อวากิวคุณภาพ แบบ “Rare Served” มาพร้อมเตาเทปปัน ให้สามารถย่างและปรุงด้วยตัวเองตามที่ต้องการ เพื่อมอบ ประสบการณ์ด้านอาหารแบบฉบับ “ต้นตำรับและเข้าถึงได้” อย่างแท้จริง เจาะกลุ่มผู้ลูกค้าหลัก premium mass เตรียมเปิดให้บริการที่เซ็นทรัล พาร์ค ในวันที่ 4 กันยายน 2568

บริษัทยังคงดำเนินแผนการขยายสาขาสำหรับร้านแบรนด์เดิมที่ได้รับความนิยมสูง อาทิ MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่น และซูชิระดับพรีเมียม HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ และ Tonkatsu AOKI ร้านหมูทอดทงคัตสึ ยอดนิยมจากประเทศญี่ปุ่น อย่างต่อเนื่องบนทำเลศักยภาพ ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อให้ครอบคลุมทุกเซกเม้นท์ของกลุ่มเป้าหมาย โดยคาดว่าปีนี้จะมีสาขาทั้งหมด 53 สาขา

ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือรวมทั้งหมด จำนวน 46 ร้านจาก 6 แบรนด์ ได้แก่

– MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่น และซูชิระดับพรีเมียม จำนวน 18 ร้าน

– HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ จำนวน 13 ร้าน โดยสาขาเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ เป็นสาขาล่าสุด สาขาที่ 13 และร้าน HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิม ในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course สาขาแรกที่เอกมัย 12

– SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม จำนวน 6 ร้าน

– Tonkatsu AOKI ร้านหมูทอดทงคัตสึ ยอดนิยมจากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5 ร้าน โดยสาขาเอกมัย คอนเนอร์ เป็นสาขาล่าสุด สาขาที่ 5

– CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก จำนวน 2 ร้าน สาขาแรกที่ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม และ CouCou สาขา Nirvana PORCH เป็นสาขาล่าสุด สาขาที่ 2

– Bincho ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างถ่าน แบบญี่ปุ่นดั่งเดิม เป็นแบรนด์ล่าสุดที่เปิดให้บริการ สาขาแรก ณ ชั้น 1 ศูนย์การค้า เมกาบางนา

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ส.ค. 68)