
รัฐบาลเวียดนามเปิดเผยข้อมูลล่าสุดในวันนี้ (6 ก.ย.) ว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกเพิ่มขึ้น 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 3.0596 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.9% อยู่ที่ 2.9197 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 1.399 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับเดือนส.ค. การส่งออกของเวียดนามเพิ่มขึ้น 14.5% เมื่อเทียบปีก่อน แตะ 4.339 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นตัวเลขการค้าครั้งแรกหลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้า 20% ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.7% อยู่ที่ 3.967 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เวียดนามมียอดเกินดุลการค้าเดือนส.ค. อยู่ที่ 3.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เวียดนามมีมูลค่าการค้ารวมกับสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนม.ค.-ส.ค. อยู่ที่ 9.91 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การค้ากับจีนอยู่ที่ 1.179 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเวียดนามพึ่งพาวัตถุดิบและอุปกรณ์จากจีนมากในการผลิตอุตสาหกรรม
นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ฮานอยว่า ความตึงเครียดทางการค้าระดับโลก รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการทหาร กำลังส่งผลกระทบต่อการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุนภาครัฐเริ่มชะลอตัว พร้อมเตือนแรงกดดันต่อเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลทางเศรษฐกิจระบุว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบปีก่อน ขณะที่ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 10.6% และดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 3.24%
เวียดนามตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ 8.3-8.5% และเงินเฟ้อเป้าหมายอยู่ในช่วง 4.5-5% ซึ่งนายกรัฐมนตรีจิ๋งห์ยอมรับว่าเป้าหมายการเติบโตปีนี้เป็นเรื่องท้าทาย แต่ย้ำว่าประเทศต้องพยายามให้บรรลุเป้าหมาย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.ย. 68)