
ทำเนียบขาวได้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเมื่อวันอังคาร (9 ก.ย.) ประกาศพร้อมสนับสนุนให้มีการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ลายเซ็นที่อ้างว่าเป็นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมุดอวยพรวันเกิดเจ้าปัญหาของเจฟฟรีย์ เอปสตีน อาชญากรทางเพศผู้ล่วงลับ
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากที่พรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรได้นำจดหมายดังกล่าว ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อกว่า 20 ปีก่อน มาเปิดเผยต่อสาธารณะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 ก.ย.) สร้างแรงกดดันทางการเมืองให้กับปธน.ทรัมป์อย่างหนัก
ปธน.ทรัมป์ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้กับผู้สื่อข่าวอย่างแข็งขัน โดยยืนยันว่าลายเซ็นและข้อความในจดหมายไม่ใช่ของตนเองอย่างแน่นอน “นั่นไม่ใช่สำนวนของผม ไร้สาระสิ้นดี” ทรัมป์กล่าว
ทางด้านนางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ได้ตอกย้ำจุดยืนของรัฐบาล โดยระบุว่า “ท่านประธานาธิบดีไม่ได้เขียนและไม่ได้ลงนามในจดหมายฉบับนี้” พร้อมปฏิเสธเรื่องเช็คอีกฉบับที่อ้างว่าทรัมป์เซ็นจ่ายให้เอปสตีนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของนักการเมืองพรรครีพับลิกันในเรื่องนี้กลับมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป เจมส์ โคเมอร์ ประธานคณะกรรมาธิการกำกับดูแลของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นแกนนำในการสอบสวนคดีเอปสตีน กล่าวว่าเขาเชื่อคำพูดของทรัมป์ และมองว่าคณะกรรมาธิการคงไม่ลงทุนลงแรงไปกับการตรวจสอบลายเซ็นที่ผ่านมานานหลายปีขนาดนั้น
สวนทางกับโทมัส แมสซี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันอีกคน ที่แสดงความเห็นว่าลายเซ็นในจดหมายนั้น “ดูคล้าย” ของทรัมป์ และหวังว่าคณะกรรมาธิการจะส่งไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อไขข้อข้องใจให้สิ้นสุด “เราจะได้ไม่ต้องมาถกเถียงกันในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้” เขากล่าว
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจความคิดเห็นจากสำนักข่าวรอยเตอร์และอิปซอสซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร ชี้ว่าสังคมอเมริกันยังคงเคลือบแคลงสงสัยในคดีของเอปสตีนอย่างยิ่ง โดย 65% เชื่อว่ารัฐบาลกำลังปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเขา และ 72% เชื่อว่ามีการปกปิดรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ดี ผลสำรวจกลับพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า แม้คะแนนนิยมของทรัมป์ในการรับมือเรื่องนี้ในภาพรวมจะอยู่ที่เพียง 17% (คิดเป็นประมาณ 184 คนจากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 1,084 คน) แต่ในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันกลับเพิ่มขึ้นจาก 35% เป็น 44%
ทั้งนี้ โฆษกทำเนียบขาวได้กล่าวหาว่า การเคลื่อนไหวของพรรคเดโมแครตในครั้งนี้เป็นเพียงความพยายามที่จะสร้าง “เรื่องหลอกลวง” (hoax) ขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของประธานาธิบดี และเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากผลงานความสำเร็จของรัฐบาล
“นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อพยายามอย่างยิ่งที่จะกุเรื่องขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา” เลวิตต์กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ก.ย. 68)