
สถาบันเศรษฐกิจ IW ของเยอรมนีเปิดเผยผลการศึกษาพบว่า สหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป (อียู) มากกว่าที่เคยประเมินไว้ โดยทั้งมูลค่าและจำนวนสินค้านำเข้าจากอียูสูงกว่าจากจีน
IW ระบุว่า สินค้าจากอียูซึ่งมีสัดส่วนการนำเข้าสูงอย่างต่อเนื่องนั้น อาจยากที่จะหาทดแทนได้ในระยะสั้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่อียูควรพิจารณา หากความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น และในทางเลือกสุดท้าย อียูอาจใช้มาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ส่วนการพึ่งพาของสหรัฐฯ ต่อจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากกระบวนการลดความเสี่ยง (de-risking) ที่ชัดเจน
จำนวนกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าอย่างน้อย 50% จากอียู เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3,100 กลุ่มในปีที่ผ่านมา จากมากกว่า 2,600 กลุ่มในปี 2553 โดยมูลค่านำเข้ารวมของสินค้ากลุ่มดังกล่าว ซึ่งรวมถึงเคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และอุปกรณ์ อยู่ที่ 2.87 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าปี 2553 เกือบ 2.5 เท่า
ส่วนสินค้านำเข้าจากจีนในปีที่ผ่านมา มีจำนวน 2,925 กลุ่ม คิดเป็นมูลค่ารวม 2.47 แสนล้านดอลลาร์
ผลการศึกษายังชี้ว่า อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อาจมีแต้มต่อมากขึ้นในการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ ซึ่งทำให้อัตราภาษีพื้นฐานสำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของอียูอยู่ที่ 15%
ซามินา ซุลตัน นักวิจัยของ IW ระบุว่า แม้ข้อมูลการค้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่สะท้อนถึงความจำเป็นของสินค้าเหล่านี้ต่อผู้ซื้อในสหรัฐฯ ได้อย่างเต็มที่ แต่การศึกษานี้สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันให้สหรัฐฯ เห็นว่า หากยังคงขึ้นภาษีต่อไป ก็เท่ากับกำลังทำร้ายตัวเอง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ย. 68)