ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.) เพื่อประกาศขึ้นบัญชีกลุ่ม “แอนติฟา” (Antifa) เป็น “องค์กรก่อการร้ายในประเทศ” อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหลายคนชี้ว่าคำสั่งดังกล่าวอาจไม่มีอำนาจทางกฎหมายรองรับ
แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ พูดถูกแล้ว ปัญหาความรุนแรงมาจากฝ่ายซ้าย ท่านจึงประกาศให้แอนติฟาเป็นองค์กรก่อการร้ายในประเทศ เพราะกลุ่มนี้คือเครือข่ายผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้ายจัดที่มุ่งใช้ความรุนแรงและการปลุกปั่นเพื่อล้มล้างรัฐบาล”
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทำเนียบขาวยังได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมของกลุ่มแอนติฟาที่เข้าข่าย “สร้างความหวาดกลัวต่อชุมชน” มาอย่างยาวนาน เช่น การโจมตีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงทำร้ายผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษนิยมและผู้สนับสนุนทรัมป์
คำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้ยังมอบอำนาจให้หน่วยงานรัฐบาลกลาง “สืบสวน ขัดขวาง และรื้อถอนปฏิบัติการที่ผิดกฎหมายทั้งหมด” ของกลุ่มแอนติฟา และให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ให้เงินทุนสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มด้วย
ทำเนียบขาวกล่าวหาว่า “ความน่าสะพรึงกลัวของแอนติฟาเป็นส่วนหนึ่งของกระแสความรุนแรงจากฝ่ายซ้ายจัดที่ลุกลามไปทั่วประเทศในช่วงหลายปีมานี้ ซึ่งมีต้นตอมาจากการโกหกและโจมตีพรรครีพับลิกันอย่างต่อเนื่องโดยนักการเมืองเดโมแครต องค์กรฝ่ายซ้าย และสื่อที่เป็นพันธมิตร” นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังอ้างถึงกรณีที่ชาร์ลี เคิร์ก นักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษนิยม เสียชีวิตจากฝีมือของ “ผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้ายจัด”
ด้านแมรี แมคคอร์ด อดีตรักษาการหัวหน้าแผนกความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม ให้ความเห็นผ่านหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ (NYT) ว่า “ตามกฎหมายแล้ว รัฐบาลไม่มีอำนาจในการประกาศให้กลุ่มเคลื่อนไหวในประเทศเป็นองค์กรก่อการร้าย” และยังชี้ว่ากลุ่มแอนติฟาเป็นเพียงอุดมการณ์มากกว่าที่จะเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างชัดเจน
ขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์รายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า สหรัฐฯ ไม่มีกฎหมายรองรับการขึ้นบัญชีกลุ่มก่อการร้ายในประเทศ พร้อมทั้งชี้ว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนกังวลว่ารัฐบาลอาจใช้คำสั่งนี้เป็นเครื่องมือปราบปรามกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายในภาพรวม
ย้อนไปเมื่อปี 2563 ในสมัยแรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์เคยประกาศว่าจะขึ้นบัญชีแอนติฟาเป็นองค์กรก่อการร้ายมาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อตอบโต้การประท้วงทั่วประเทศกรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ อย่างเป็นรูปธรรม
การลงนามในคำสั่งครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ร้อนระอุ หลังการเสียชีวิตของชาร์ลี เคิร์ก ได้จุดประเด็นถกเถียงเรื่องความรุนแรงทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง โดยทรัมป์ได้ออกมาตอบโต้พรรคเดโมแครตที่กล่าวหาว่าความรุนแรงเกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่าย พร้อมกับยืนยันว่า “ความรุนแรงส่วนใหญ่มาจากฝ่ายซ้าย”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 68)
