
นางสาววีรยา ศรีวัฒนะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. 88(ไทยแลนด์) [88TH] เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 59.50 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 5.45 บาท มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท เปิดจองซื้อวันที่ 25-26 และ 29 กันยายน 2568 โดยคาดจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปีนี้ ซึ่งจะอยู่ในหมวดธุรกิจสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “88TH”
ราคาเสนอขายหุ้นละ 5.45 บาท คำนวณจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2567 ถึงไตรมาส 2 ปี 2568) ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 89.72 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วหลังการเสนอขายในครั้งนี้เท่ากับ 212,500,000 หุ้น จะได้กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.42 บาท และคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ประมาณ 12.91 เท่า ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่ง รวมถึงมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งด้านรายได้และความสามารถในการทำกำไร จึงมั่นใจว่าจะเป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
88TH แต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หุ้นสามัญที่เสนอขายครั้งนี้จำนวนไม่เกิน 59.5 ล้านหุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 42.50 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Ilkano Pte. Ltd จำนวนไม่เกิน 17.00 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้
โดย 88TH จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ สอดคล้องกับโครงการในอนาคตของบริษัทฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อยอดธุรกิจ ในระยะ 3 ปี (2568-2571)
นางสาวนพรัตน์ มาลัยวงค์ ในฐานะผู้ก่อตั้ง และกรรมการ 88TH เปิดเผยว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของบริษัทบนเส้นทางการดำเนินธุรกิจกว่า 10 ปี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องกระทั่งได้รับความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพและเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยคือกุญแจสำคัญที่มีผลต่อการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผลประกอบการเติบโตอย่างโดดเด่น รายได้เติบโตเฉลี่ยกว่า 30% ต่อปี (CAGR) จาก 269 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 478 ล้านบาทในปี 2567 และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจาก 13 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 56 ล้านบาทในปี 2567 ด้วยอัตรากำไรสุทธิ (NPM) 12% ขณะที่ฐานะทางการเงินเป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญของบริษัท ซึ่งสะท้อนได้จากบริษัทมีสภาพคล่องสูงและไม่มีภาระหนี้สินจากสถาบันการเงิน
การระดมทุนในครั้งนี้จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 213.625 ล้านบาทภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหลักทรัพย์ ไปใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจและสร้างการเติบโตในอนาคตในทุกมิติประกอบด้วย ด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ (Hair Care) ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Cosmetics) ภายใต้แบรนด์ “LYO” แบรนด์ “Hone” และแบรนด์ “ver.88” เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
ผลประกอบการ 6 เดือนแรก ปีนี้ สะท้อนความแข็งแกร่งและกลยุทธ์การดำเนินงานที่มีศักยภาพ โดยบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการรวม 306.80 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการรวม 210.79 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 96.01 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 45.55% ขณะที่กำไรสุทธิ 50.45 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 16.50 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.95 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นมากถึง 205.74%
ปัจจัยบวกในงวดหกเดือนแรกของปี 68 มีการเปิดตัวและเริ่มจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ (Hair Care) เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจากสารสกัดสมุนไพร (LYO Herbal) ที่ได้เริ่มในปลายไตรมาส 1/2567 และเริ่มสะท้อนผลการดำเนินงานเต็มไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2567 โดยรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจากสารสกัดสมุนไพร (LYO Herbal) ในปี 2567 เท่ากับ 57.15ล้านบาท และงวดหกเดือนแรกของปี 2568 เท่ากับ 76.84 ล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ย. 68)