
นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตกรรมการ บมจ.การบินไทย THAI] กล่าวในงานเสวนา หัวข้อ โจทย์ใหม่ “การบินไทย” เดินต่ออย่างไรไม่ให้ซ้ำรอย ว่า การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจที่เก่าแก่ ก่อตั้งในปี 2503 ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย มีสายการบินใหญ่ๆ ในโลกเลิกกิจการจำนวนมาก อย่าง Panam หรือ United airline เข้าสู่กระบวนการล้มละลายมาแล้ว 2 ครั้ง เช่นเดียวกับ Japan airline(JAL)
ที่ผ่านมาสายการบินไทยเป็นหลักในการเดินทางของประเทศมาตลอด มีกำไรเรื่อยมา ตอนต้นแทบจะ monopoly แต่พอปี 2547 มีการเปิดเสรีการบิน ทำให้เกิดโลว์คอสแอร์ไลน์จำนวนมากในประเทศไทย จากนั้นเป็นต้นมา เกือบ 20 ปี การบินไทยมีกำไร 3 ปี ซึ่งในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีกำไรหลักไม่ถึงร้อยล้านบาท ขณะที่ยอดขาย 2 แสนล้าน
กระทั่งปี 2562 ขณะที่สายการบินทั่วโลกมีผลประกอบการที่ดีมากๆ แต่การบินไทยขาดทุนหมื่นกว่าล้านบาท ไตรมาสที่ 3 ของปีดังกล่าว ซึ่งเป็นไตรมาสที่การบินไทยประกาศว่าสามารถทำ load factor ได้ถึง 80% แต่ขาดทุน 10% เท่ากับหลายพันล้านบาท ความหมายว่าจะทำกำไรได้ต้อง load factor 90% หรือมีผู้โดยสาร 90% ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสายการบินไหนทำได้
แต่โชคดีที่เกิดโควิด-19 เพราะทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจผ่าตัดครั้งใหญ่ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูตามกฎหมายล้มละลาย และทำให้มีการผ่าตัดใหญ่ตลอด 5 ปี ซึ่งการบินไทย สามารถกลับมาจากขาดทุนมากที่สุดในโลก กลายมาเป็นสายการบินที่กำไรสูงที่สุดในโลก 2 ปีติดต่อกัน
“เรื่องนี้เป็นเคสระดับโลก เป็นการ turn around ตื่นเต้นยิ่งกว่าที่นายกฯ ญี่ปุ่นฟื้นฟู japan airline (JAL) เพราะฟื้นฟูในช่วงที่กิจการการบินทั่วโลกดี แต่การบินไทยฟื้นฟูตอนที่ทุกฝ่ายยากลำบาก โจทย์คือจากนี้ต่อไปทำอย่างไรไม่ให้วนไปสู่รูปแบบเดิม สื่อมีบทบาทสำคัญ เพราะสุดท้ายคนที่จะปกป้องการบินไทยได้ดีที่สุดคือประชาชน” นายบรรยง กล่าว
ส่วนการบินไทยไปต่ออย่างไรเพื่อไม่ให้เจอวิกฤตแบบเดิมในอดีต นายบรรยง กล่าวว่า การที่การบินไทยสามารถทำตามแผนฟื้นฟูได้ ก็ด้วยความที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะหากยังเป็นรัฐวิสาหกิจก็จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบมากมาย แต่ก่อนการบินไทยจะซื้อเครื่องบินลำหนึ่งต้องส่งไปที่กระทรวงคมนาคม ส่งไปที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีสิทธิที่จะท้วงติง แล้วไปให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ซึ่งใช้เวลา 4 ปี นอกจากนั้น ในอดีตเคยขอซื้อเครื่องบินอีกรุ่น แต่อนุมัติให้ซื้ออีกรุ่นหนึ่งก็มี
การไม่เป็นรัฐวิสาหกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะนอกจากกฎระเบียบมากมายแล้ว ยังมีเรื่องของผู้ที่ถูกส่งคนมาเป็นกรรมการ มีทั้งสัดส่วนของนักการเมือง สัดส่วนข้าราชการ ทำให้การแข่งขันกับความคล่องตัวของการบินไทยหายไปทั้งหมด เพราะข้าราชการขาดเวลา ขาดทักษะการบริหารธุรกิจ
“การบินไทยที่ฟื้นฟูมาได้คือ 1. ตัดความเป็นรัฐวิสาหกิจออกไป ตัดกรรมการที่มีแต่ความกลัวออกไปถึงฟื้นฟูได้ 2. ผู้บริหาร ถ้าผู้บริหารไม่ได้เลือกมาจากความสามารถ ผลงาน ถ้ามาจากพวกใคร ที่ไหนก็พัง นี่คือปัญหาใหญ่ พอการบินไทยไม่ได้ปฏิบัติเช่นนี้ก็ทำให้พัฒนาได้มาถึงปัจจุบัน ซึ่งการบินไทยจะเดินต่อไปได้ดีนั้นคือ ลดรัฐ เพิ่มตลาด” นายบรรยง กล่าว
นายบรรยง แนะนำว่า รัฐบาลควรจะลดบทบาทในการบินไทยลงไปอีก ควรจะขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดออกไป เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่ารัฐวิสาหกิจถ้าเตรียมตัวให้พร้อมเขาจะไปได้ดี แล้วให้ธรรมาภิบาลของตลาดดูแล นอกจากนี้ ยังช่วยแก้ปัญหาเสถียรภาพการคลังให้รัฐบาล ลดหนี้สาธารณะได้ส่วนหนึ่ง และจะส่งสัญญาณที่ดีมากให้กลไกของระบบ
“มีคนบอกว่าที่การบินไทยอยู่ได้ เพราะมีผู้โดยสารไทยเป็นคนแบก ยอมจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินแพง ถ้าคุณอยากช่วยการบินไทย แพงอย่าซื้อ การบินขายได้เพราะเขาแข่งขันได้ จะช่วยกดดันให้การบินไทยพัฒนาคุณภาพ และราคาให้แข่งขันได้ ถ้าเห็นตั๋วแพงอย่าไปซื้อ”
ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการ THAI ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ กล่าวว่า การบินไทยไม่กลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ เพราะคงไม่กลับไปอีกแล้ว แต่อย่ากลับไปเป็นองค์กรที่ทำงานเหมือนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งห่วงว่าหากมีกรรมการที่ไม่มีความเหมาะสมก็อาจมีการทำงานคล้ายลักษณะรัฐวิสาหกิจได้ แล้วจะกลับไปแบบเดิม
พร้อมระบุว่า ที่การบินไทยแย่และทรุดลงมาเพราะมีการแทรกแซงจากข้างนอก แต่งตั้งคนที่ไม่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ตั้งแต่ข้างล่างมายันข้างบน สุดท้ายแล้วก็มารับใช้คนที่เป็นหนี้บุญคุณในการจัดซื้อจัดจ้าง จะเห็นว่าเวลามีเรื่องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) นักการเมืองไม่โดน มีแต่ผู้บริหารการบินไทยที่โดน เพราะนักการเมืองสั่งด้วยวาจา การที่โกงกินคอร์รัปชั่นมาจากเอาคนของตัวเองขึ้นมา ทำให้องค์กรอ่อนแอเพราะบริหารโดยคนที่ไม่เก่ง ไม่มีประสิทธิภาพ เหมือนก่อนการฟื้นฟูการบินไทย
“ตอนที่เข้าไปเป็นประธานบอร์ดการบินไทย มีแรงกดดันจากข้างนอกมากพอสมควรในการแต่งตั้งพนักงานและผู้บริหาร และไม่ใช่ระดับข้างบน เขาล้วงไปถึงข้างล่าง เติบโตขึ้นมา ซึ่งวงจรนี้กลับคืนมาได้ถ้าไม่ได้ระวัง”นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
ส่วนผู้บริหารการบินไทยชุดปัจจุบัน มาจากช่วง 5 ปีที่ทำแผนฟื้นฟู เป็นกลุ่มผู้บริหารที่มีความสามารถที่สุด เขาคือกลุ่มที่ทำให้การบินไทยฟื้นขึ้นมา และรู้ธุรกิจการบิน กลุ่มนี้ยังอยู่ มีความเข้มแข็ง แต่ถ้าไปเจอคนที่ไม่มีคุณภาพมาทำงานด้วย สักพักหนึ่งก็จะหมดแรงหรือการตัดสินใจช้า องค์กรเดินได้ช้า อาจจะพลาดโอกาส เพราะธุรกิจการบินเปลี่ยนแปลงเร็วตลอดเวลา
เมื่อถามว่าการบินไทยจะเดินไปต่ออย่างไรไม่ให้ซ้ำรอย นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้การบินไทยมีผู้บริหารที่แข็งมาก และกลุ่มนี้เขารักและหวงแหนการบินไทย เพราะเขาสร้างมันขึ้นมาจากที่แทบล้มละลาย และต้องการให้บริษัทอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ตอนนี้เรามีกรรมการบริหารจัดการตามปกติ ซึ่งต้องเลือกกรรมการที่ดี และรัฐบาลต้องใจกว้างในการสรรหากรรมการที่เหมาะสม และเอาคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับการทำธุรกิจที่แข่งขันมากที่สุดในโลกเข้ามา
“คนที่จะมาเป็นกรรมการควรจะถามตัวเองด้วยซ้ำว่าเข้ามาแล้วเพิ่มมูลค่าให้บริษัทได้ ถ้าตอบว่าไม่รู้ เข้ามาเสวยตำแหน่งเฉยๆ อย่าเอามาเลย คนที่เข้ามาเป็นกรรมการต้องช่วยบริษัทฟื้นฟูต่อไปได้อย่างยั่งยืน การสรรหากรรมการเป็นเรื่องสำคัญ และไม่เฉพาะการบินไทย รวมถึงรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ด้วยถ้าอยากเห็นรัฐวิสาหกิจไทยมีความยั่งยืนต่อไป” นายปิยสวัสดิ์กล่าว
พร้อมขู่ว่า หากเลือกคนไม่ดีมาเป็นกรรมการ ก็คอยดูว่าวันที่ 4 ก.พ.69 ซึ่งเป็นวันที่ lock up period หมด ที่กลุ่มที่แปลงหนี้เป็นทุนด้วยราคาหุ้น 2.5452 บาท จะสามารถขายออกมาได้ 25%
“ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่แปลงหนี้เป็นทุนด้วย 2.5458 บาท ขายได้ 25% ถ้ากรรมการดูไม่ดี ผมว่าเขาขาย ตอนนี้ฟรีโฟลทน้อย ราคายังสูง และถ้าครบ 6 เดือนแล้วขายได้ ถ้าสภาพไม่ได้ดีต่อไป ไม่ขายเหรอ ราคาก็ร่วง”
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI กล่าวว่า การบินไทยทุกวันนี้ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนดีขึ้นมาก แข่งขันกับสายการบินอื่นได้ แต่มาจากการวางแผน ทำตามยุทธศาสตร์ เดินตามแผนฟื้นฟู เรามาดูว่าจุดอ่อน จุดแข็งแป็นอย่างไร ถามทุกฝ่ายว่า ทุกวันนี้การบินไทยมีจุดอ่อนคืออะไร บางคนก็นึกไม่ออก เพราะการบินไทยแทบไม่มีจุดอ่อนเลย ปัจจัยภายนอกเจอเหมือนกัน ซึ่งปัจจัยภายในการบินไทย มีจุดแข็งคือ ภูมิศาสตร์ที่ดี มีจิตใจการบริการที่ดี ต้นทุนต่อพนักงานต่ำกว่าถ้าเทียบกับสายการบินอื่น ขณะเดียวกันประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 20%
สิ่งที่เปลี่ยนไปชัดเจนคือ ยุทธศาสตร์การขาย หลักๆ 95% เหมือนเดิมที่เป็นสายการบินที่มีเครือข่าย แต่ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ขายแบบ point to point เป็นหลัก ไม่ได้ใช้จุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ของเรามาเป็นประโยชน์
ดังนั้น ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเราจัดการเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น วางแผนดู data ว่าผู้โดยสารมีแต่ละตลาดที่บินข้ามประเทศไทย ทำอย่างไรที่จะดึงทราฟฟิกมาประเทศไทยได้ จาก point to point 6% ของการบินไทย แต่วันนี้มี 22% แปลว่าเราดึงผู้โดยสารจากสายการบินอื่นมาได้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากๆ และสะท้อนมายังผลประกอบการไตรมาสที่ 2-3 ไม่ขาดทุน กำไรคงที่ จากเดิมที่ไตรมาส 2 และ 3 ขาดทุนมาตลอด
นายชาย กล่าวด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ของการบินไทย 10 ปีย้อนหลังการบินไทยมีปัญหาเรื่องฮาร์ดแวร์ เช่น เครื่องบิน เพราะการขาดทุน จึงลดงบลงทุน การจัดหาเครื่องบิน วันนี้เรารู้ปัญหา 3 ปีที่ผ่านมาดำเนินการแก้ไข เราปรับปรุงเครื่องบิน 320 จะมีเครื่องแอร์บัส 321 neo เข้ามาใหม่ ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะได้เครื่องบินลำตัวกว้างจากโรงงานเพิ่มขึ้นมาอีก
“ช่วงนั้น 1 ปีแรกหลังจากฟื้นฟูเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอด ทำอย่างไรให้ตัวเองรอด แต่หลังจาก 1 ปีแล้ว ต้องดูอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะธุรกิจการบินต้องดู long term ซึ่งเราทำได้ดีในการจัดหาเครื่องบิน ปี 2023 ต้น 2024 ไปลงนามจัดหากับผู้ผลิตเครื่องบินและเครื่องยนต์เพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องบินในอนาคต ถ้าเป็นเมื่อก่อนใช้ mind set เดิมๆ ใช้เวลาในการตัดสินใจนานๆ ก็ไม่มีทางได้ฝูงบินเหล่านี้มา และอยู่ที่ผู้บริหารข้างบนว่าจะสนับสนุนคนทำงานได้มากขนาดไหน” นายชายกล่าว และว่า
mindset สำคัญมากในการทำธุรกิจ เราเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เปลี่ยน core value มี 3 ข้อ คือ agility ต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็ว ถ้าไม่รวดเร็วไม่ทันคนอื่นต่อการเปลี่ยนแปลง และเป็นสาเหตุที่ทำให้การบินไทยเกือบล้มละลาย integrity ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง และ mastering of customer ใส่ใจลูกค้า ความเป็นมืออาชีพ สะท้อนคุณสมบัติของคนทำธุรกิจ
วันนี้ หุ้น THAI ปิดที่ 13.70 บาทเพิ่มขึ้น 0.30 บาท (+2.24%)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ย. 68)