
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และไบโอเทคในยุโรปปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในการซื้อขายวันพุธ (1 ต.ค.) ตามทิศทางหุ้นกลุ่มเดียวกันในสหรัฐฯ เนื่องจากตลาดขานรับข้อตกลงด้านราคายาระหว่างไฟเซอร์ (Pfizer) กับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายกังวล
หุ้นยูซีบี (UCB), อาร์เจนเอ็กซ์ (ArgenX), ซาโนฟี่ (Sanofi), โรช (Roche) และเมอร์ค เคจีเอเอ (Merck KGaA) ต่างปรับตัวขึ้นตามกัน รวมถึงหุ้นบริษัทด้านไบโอเทค เช่น ซาร์โตเรียส สเตดิม ไบโอเทค (Sartorius Stedim Biotech) และซิกฟรีด (Siegfried) ก็ได้รับอานิสงส์เช่นกัน ทำให้ดัชนีเอสเอ็มไอ (SMI) ของสวิตเซอร์แลนด์ และดัชนีเบล 20 (Bel 20) ของเบลเยียม ปิดตลาดวันพุธในแดนบวก โดยทั้งสองดัชนีมีน้ำหนักของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์สูง
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากไฟเซอร์เปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ในโครงการเมดิเคด (Medicaid) แลกกับการผ่อนปรนมาตรการเก็บภาษี ซึ่งข้อตกลงนี้ถูกมองว่าอาจเป็นต้นแบบสำหรับข้อตกลงอื่น ๆ ที่ช่วยบรรเทาแรงกดดันที่สะสมในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์มานาน
นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้การกำหนดราคายาตามนโยบาย Most Favored Nation (MFN) และภาษีสำหรับยา จะเป็นประเด็นกังวลมาสักระยะ การประกาศข้อตกลงล่าสุดนั้นถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาด
บรรดานักลงทุนมองว่าระบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในลักษณะ give-and-take เป็นการเลือกที่เลวร้ายน้อยที่สุด และสะท้อนถึงความสามารถของประธานาธิบดีทรัมป์ในการกดดันอุตสาหกรรมที่มีอิทธิพลสูง เพื่อให้ได้ราคายาที่ถูกลงกว่าที่เคยเผชิญในสหรัฐฯ
ด้านสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) จะอนุมัติยาหรือการรักษาใหม่ที่จำเป็นต่อระบบสาธารณสุขแบบเร่งด่วน โดยใช้เวลาเพียง 1-2 เดือนแทนที่จะต้องใช้เวลา 10 เดือน พร้อมการออก 5 ใบอนุญาตพิเศษ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบริษัทขนาดเล็กหรือผู้พัฒนาที่ไม่ใหญ่เท่ากับบริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma)
เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้ส่งจดหมายถึงบริษัทยารายใหญ่ 17 แห่ง เรียกร้องลดราคายาให้สอดคล้องกับราคาที่ขายในต่างประเทศภายใต้นโยบาย MFN และกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ต้องตอบกลับด้วยข้อตกลงที่มีผลผูกพันภายในวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ต.ค. 68)