สภาเปรูลงมติเอกฉันท์ ขับปธน. “โบลัวร์เต” พ้นตำแหน่ง ปมคอร์รัปชัน-ปราบผู้ประท้วงรุนแรง

รัฐสภาเปรูลงมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมนัดพิเศษช่วงกลางดึกจนล่วงเข้าวันศุกร์ (10 ต.ค.) ให้ถอดถอนประธานาธิบดีดีนา โบลัวร์เต ออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ในข้อหา “ไร้ความสามารถทางศีลธรรม” (moral incapacity) หลังพรรคฝ่ายขวาซึ่งเคยเป็นแนวร่วมสำคัญพลิกขั้วมาสนับสนุนการถอดถอน ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำอย่างหนักจากข้อกล่าวหาคอร์รัปชันและการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วง โดยโบลัวร์เตไม่ได้เดินทางมาชี้แจงข้อกล่าวหาต่อสภาตามหมายเรียก

การถอดถอนครั้งนี้ตอกย้ำภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองของเปรู ซึ่งมีประธานาธิบดีมาแล้ว 6 คนในรอบ 7 ปี และยังสร้างความไม่แน่นอนว่าจะผู้ใดจะขึ้นมาสืบทอดตำแหน่ง เนื่องจากโบลัวร์เตไม่มีรองประธานาธิบดี

บรรยากาศที่ด้านนอกอาคารรัฐสภาเป็นไปอย่างคึกคัก กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ได้ออกมารวมตัวโบกธงชาติเปรูเพื่อเฉลิมฉลองผลการลงมติ โดยสมาชิกรัฐสภาได้มีมติถอดถอนโบลัวร์เตออกจากตำแหน่ง หลังกระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างรวบรัดในช่วงข้ามคืน

ก่อนหน้านี้ในช่วงค่ำวันพฤหัสบดี (9 ต.ค.) ญัตติถอดถอนประธานาธิบดีได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้นเกินกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำในการเปิดอภิปราย สภาจึงได้มีมติเรียกให้โบลัวร์เตเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในเวลา 23.30 น. แต่เธอก็ไม่ได้ปรากฏตัว ทำให้สภาซึ่งมีเสียงสนับสนุนเพียงพอ (ต้องการอย่างน้อย 87 เสียง) เดินหน้าลงมติถอดถอนเธอได้สำเร็จหลังเที่ยงคืนไม่นาน

จุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การถอดถอนครั้งนี้ คือการกลับลำของพรรคฝ่ายขวาที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของรัฐบาลมาโดยตลอด ทั้งพรรคฟื้นฟูประชานิยม (Popular Renewal) ของราฟาเอล โลเปซ และพรรคพลังประชานิยม (Popular Force) ของเคโกะ ฟูจิโมริ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยช่วยให้ญัตติถอดถอนหลายครั้งถูกปัดตกไป การตัดสินใจพลิกขั้วครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสกดดันจากสังคม และคาดว่านักการเมืองทั้งสองจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในเดือนเม.ย. 2569

“เราจะผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้ว เราต้องตัดสินใจ ณ บัดนี้” บิกตอร์ กุติปา สมาชิกรัฐสภากล่าวต่อที่ประชุม

อนึ่ง โบลัวร์เต วัย 63 ปี ขึ้นสู่อำนาจในเดือนธ.ค. 2565 หลังประธานาธิบดีเปโดร กัสติโย พยายามยุบสภาแต่ไม่สำเร็จและถูกถอดถอนไปก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของโบลัวร์เตต้องเผชิญกับการประท้วงรุนแรงนานหลายเดือน ซึ่งรัฐบาลถูกกล่าวหาว่าใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก นอกจากนี้ โบลัวร์เตยังพัวพันกับคดีร่ำรวยผิดปกติจากกรณีครอบครองนาฬิกาหรูโรเล็กซ์และทรัพย์สินที่ไม่ได้สำแดง จนทำให้คะแนนนิยมของเธอตกต่ำลงเหลือเพียง 2-4% เท่านั้น

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งได้ไปรวมตัวเฉลิมฉลองที่หน้าสถานทูตเอกวาดอร์ เนื่องจากคาดการณ์ว่าโบลัวร์เตอาจขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ต.ค. 68)