ADVANC อวดกำไรสุทธิ Q3/68 พุ่งทะยาน 37% YoY รายได้ทุกกลุ่มธุรกิจโตแข็งแกร่ง 5G แตะ 15.8 ล้านเลขหมาย

บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส [ADVANC] หรือ เอไอเอส เผยผลประกอบการไตรมาส 3/68 มีรายได้รวม 54,362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตที่แข็งแกร่งของทุกธุรกิจ ส่วนรายได้จากการให้บริการหลัก อยู่ที่ 43,591 ล้านบาท เติบโต 6.8% จากปีก่อน และ เพิ่มขึ้น 1.4% จากไตรมาสก่อนหน้า

กำไร EBITDA อยู่ที่ 31,406 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน และโต 3.8% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสุทธิ 12,039 ล้านบาท เติบโต 37% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเติบโต 9.6% จากไตรมาสก่อน สะท้อนการเติบโตที่มั่นคงของทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ บรอดแบนด์ และบริการลูกค้าองค์กร โดยขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์การพัฒนาโครงข่ายคุณภาพสูง นวัตกรรมบริการ และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พร้อมต่อยอดสู่อนาคตด้วย ธุรกิจใหม่ ที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเติบโตระยะยาว ทั้งธุรกิจรีเทล แพลตฟอร์มคอนเทนต์ความบันเทิงและกีฬา และการเงินดิจิทัล

EBITDA และผลประกอบการยังคงเติบโตจากการรักษาสมดุลระหว่างการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต และการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร สะท้อนการเติบโตเชิงคุณภาพในทุกมิติ ภายหลังการก้าวผ่าน วาระครบรอบ 35 ปี เอไอเอสยังคงต่อยอดการเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยการยืนหยัดในฐานะองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะที่มีรากฐานแข็งแกร่ง มุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน ภายใต้ผลการดำเนินงานมิติต่างๆ ดังนี้

– ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่: เสริมแกร่งโครงข่ายเพื่อความได้เปรียบระยะยาว ณ สิ้น ก.ย.68 มีผู้ใช้บริการรวม 46.3 ล้านเลขหมาย เพิ่มขึ้นสุทธิ 271,300 เลขหมาย โดยมีผู้ใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 15.8 ล้านเลขหมาย เติบโต 36% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการลงทุนเชิงคุณภาพ ในการขยายโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้ครอบคลุมกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านประสบการณ์ดิจิทัลให้กับผู้ใช้ทั่วประเทศ

รวมถึงการเปิดให้บริการคลื่นความถี่ 2100MHz ทันทีหลังชนะการประมูล พร้อมประยุกต์ใช้เทคโนโลยี “Super Block” ถือเป็นการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถของเครือข่ายให้รองรับการใช้งานไปอีกขั้น ด้วยความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านคุณภาพที่ได้รับการการันตีโดยรางวัล OOKLA ปี 2025

นอกจากนี้ การนำแพ็กเกจรับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษมาสร้างความผูกพันกับลูกค้า ยังเป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างมูลค่าระยะยาวให้กับฐานลูกค้าอีกด้วย

– ธุรกิจบรอดแบนด์: สร้างความต่างด้วยประสบการณ์และคุณภาพบริการ ภายใต้แบรนด์ AIS 3BB FIBRE3 เอไอเอสมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก 68,000 ราย ส่งผลให้ยอดผู้ใช้รวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 5.2 ล้านราย

การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากกลยุทธ์ “ยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยยุคดิจิทัล” โดยผสานโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้ากับคอนเทนต์ระดับพรีเมียม ผ่านแพ็กเกจ Super FAST และ Home FibreLAN ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่ครอบครัวจนถึงผู้ใช้งานที่มีความต้องการเฉพาะด้านทั้งสตรีมมิ่งและเกมมิ่ง

ขณะเดียวกัน การเสริมพอร์ตด้วยคอนเทนต์กีฬาระดับโลก อาทิ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, NBA, และ NFL ไม่เพียงสร้างความแตกต่างด้านประสบการณ์ แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการวางตำแหน่ง AIS 3BB FIBRE3 ให้เป็น “ผู้นำบริการดิจิทัลครบวงจรในทุกบ้าน”

– ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร: ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรเติบโต 14% จากไตรมาส 3 ปีก่อน จากแนวโน้มการเร่งทรานส์ฟอร์มองค์กรของภาครัฐและเอกชน โดยเอไอเอสวางกลยุทธ์เป็นพันธมิตรเทคโนโลยีครบวงจรที่ให้บริการตั้งแต่โครงข่ายสื่อสาร ระบบคลาวด์ ไปจนถึงโซลูชัน AI เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก เช่น Oracle Cloud และโครงการ GSA Data Center เป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เชื่อมโยงอย่างปลอดภัยและยั่งยืน รองรับการขับเคลื่อนองค์กรไทยสู่การเป็น Sustainable Nation ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับในงวด 9 เดือนแรกปี 68 รายได้จากการให้บริการหลัก อยู่ที่ 128,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีก่อน กำไร EBITDA อยู่ที่ 91,724 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อน จาการขยายตัวของธุรกิจและการบริหารต้นทุนอย่างรอบคอบ และกำไรสุทธิ อยู่ที่ 33,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ต้นทุนคลื่นความถี่และต้นทุนการเงินที่ลดลง โดยทั้งรายได้จากการให้บริการหลัก และ กำไร EBITDA โตมากกว่าคาดที่วางไว้เติบดต 4-6% ส่วนงบลงทุนในงวด 9 เดือน ใช้ไปแล้ว 16,345 ล้านบาทที่ใช้ปรับปรุงโครงข่ายและอุปกรณ์ให้ทันสมัย จากงบทั้งปี 68 ที่ 2.6-2.7 หมื่นล้านบาท

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 พ.ย. 68)