
ตลาดหุ้นทั่วโลกที่เผชิญแรงเทขายอย่างหนักในช่วงนี้ ทำให้นักลงทุนแห่โยกเงินเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลง และเกิดกระแสถกเถียงกันว่า อัตราผลตอบแทนจะร่วงต่ำได้อีกเพียงใด
ธนาคารดีบีเอส (DBS Bank) ประเมินว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีอาจลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 3.8% จากราว 4.07% ในปัจจุบัน หากตลาดหุ้นยังคงอ่อนตัวต่อไป ขณะที่ทีดี ซีเคียวริตีส์ (TD Securities) คาดว่า ผลตอบแทนดังกล่าวอาจร่วงลงแตะ 3.50% ภายในปลายปี 2569
ในวันนี้ (5 พ.ย.) ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในทุกช่วงอายุ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบสัปดาห์ ขณะที่พันธบัตรอายุใกล้เคียงกันของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น ก็มีผลตอบแทนลดลงเช่นกัน
แรงเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาด โดยมูลค่าตลาดรวมของดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในตลาดฟิลาเดลเฟีย ลดลงกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวานนี้ (4 พ.ย.) ท่ามกลางความกังวลว่าหุ้นเทคโนโลยีอาจมีมูลค่าสูงเกินจริง
บรรดาผู้บริหารในย่านวอลล์สตรีทจากมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) และจากโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป (Goldman Sachs Group) เตือนว่า ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นแรงหนุนให้ตลาดพันธบัตรมูลค่า 73 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวขึ้นต่อไป
นักวิเคราะห์ของทีดี ซีเคียวริตีส์ระบุว่า คำเตือนจากซีอีโอต่าง ๆ เกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้นและการใช้จ่ายด้านเงินลงทุน (capex) ประกอบกับความเสี่ยงจากการปิดหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และสภาพคล่องในตลาดที่ตึงตัว ล้วนเอื้อให้ภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk-off) ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีสภาพคล่องสูง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ย. 68)





