
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้บีโอไอ ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน มีมติเห็นชอบ 2 มาตรการสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนเพื่ออนาคตภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ได้แก่ มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามสามารถในการแข่งขัน และมาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่
– มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นการให้เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะสนับสนุนเงินทุนในสัดส่วน 30-50% ของเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท ครอบคลุมการลงทุนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1) การปรับปรุงประสิทธิภาพกิจการเดิมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีดิจิทัล
2) การวิจัยและพัฒนา (R&D)
3) การปรับเปลี่ยนกิจการเดิมไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมสีเขียว
โดยผู้ยื่นขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ ต้องเป็นนิติบุคคลที่มีหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 51% ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ ยานยนต์ อิเลคทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ถ้าเป็นผู้ประกอบการทั่วไปทุนขั้นต่ำ 50 ล้านบาท แต่กรณีเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ขึ้นทะเบียนในโครงการ SME ONE ID & ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ต้องลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ทั้งนี้ต้องยื่นคำขอภายในเดือน ม.ค.69 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือน นับจากวันออกบัตรส่งเสริม
นอกจากนี้ เนื่องจากการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นการเบิกจ่ายหลังจากผู้ประกอบการได้ลงทุนตามเงื่อนไขแล้ว บีโอไอจึงร่วมกับสมาคมธนาคารไทยในการพัฒนาสินเชื่อในรูปแบบ Bridging Loan และกำหนดอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการะหว่างรอการเบิกจ่ายด้วย
– มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ กองทุนฯ จะสนับสนุนเงินให้กับมหาวิทยาลัย/สถาบันฝึกอบรมที่จะเป็นหน่วยงานแม่ข่าย (Node) เพื่อเป็นคำใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรมและยกระดับทักษะของกำลังคนระดับ ปวส.ขึ้นไปให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของของอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายพัฒนาบุคลากร 1 แสนคน แบ่งเป็นนักศึกษาทีเตรียมความพร้อมก่อนเข้า 30,000 คน และบุคลากรในตลาดแรงงานที่ต้องการยกระดับหรือปรับเปลี่ยนทักษะ (Upskiil & Reskll) 70,000 คน รูปแบบการฝึกอบรมครอบคลุมทั้งแบบ Bootcamp, Onsite & Onine Training รวมทั้งการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ
โดยหลักสูตรจะต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือองค์ความรู้ขั้นสูงที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศ และต้องได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.) โดยเงินสนับสนุนจะครอบคลุมค่าฝึกอบรม ค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างฝึกงาน และค่อบแทนผู้ดูแลการฝึกงาน ทั้งนี้ต้องยื่นคำขอภายในเตือน ม.ค.69 และดำเนินการฝึกอบรมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นับจากวันออกบัตรส่งเสริม
“มาตรการที่บอร์ดอนุมัติในครั้งนี้จะเป็นการพลิกบทบาทกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เป็นเครื่องมือด้านการเงินที่ใช้ในการยกระดับอุตสาหกรรมไทย ทั้งด้านการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัว เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการสร้างบุคลากรทักษะสูง เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ นับเป็นแคมเปญสร้างบุคลากรสำหรับภาคอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งการยกระดับขีดความสามารถทั้งสองด้านนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอด แข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน” นายนฤตม์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 68)





