
บมจ.ไทยออยล์ [TOP] และบริษัทในกลุ่ม เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 3/68 กำไร 2,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,365 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 151%YoY จากไตรมาส 3/67 ที่ขาดทุน 4,218 ล้านบาท แต่ลดลงจากไตรมาส 2/68 ที่มีกำไรสุทธิ 4,320 ล้านบาท หรือลดลง 66.85% QoQ
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ [TOP] เปิดเผยว่า ผลประกอบการบริษัทฯ ไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 2,147 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายอยู่ที่ 80,049 ล้านบาท ลดลง 19,037 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามวาระ (Major Turnaround) สำหรับหน่วยกลั่นน้ำมันที่ 3 และหน่วยอื่นๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ส่งผลให้กำลังการผลิตลดลง และราคาขายผลิตภัณฑ์บางส่วนที่อ่อนตัว แต่ยังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับขึ้นตามภาวะอุปทานตึงตัวจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน-อิสราเอลรวมถึงสหรัฐและสหภาพยุโรปมีมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่กับรัสเซียส่งผลให้ไทยออยล์มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน
ในช่วงดังกล่าวกลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันอยู่ที่ 5.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจาก 7.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าการกลั่นปรับลดลงตามส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตาเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลง อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นทำให้ไทยออยล์รับรู้กำไรจากสต็อกน้ำมัน 1,508 ล้านบาท หรือ 2.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กำไรขั้นต้นรวมผลกระทบจากสต็อกเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจากไตรมาส 2 ปี 2568
อีกปัจจัยสำคัญที่หนุนผลประกอบการ คือ กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงิน 1,372 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดหนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ส่งผลให้ EBITDA ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 3,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,619 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน ฉะนั้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ไทยออยล์พลิกจากการขาดทุนสุทธิ 4,218 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2567 กลับมามีกำไรได้ในไตรมาส 3 ปี 2568
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 ไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 12,126 ล้านบาท คิดเป็น กำไรสุทธิ 5.43 บาทต่อหุ้น โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4,934 ล้านบาทจากปีก่อน แม้อัตรากำลังการกลั่นลดลงเพราะหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ แต่ได้แรงหนุนจากกำไรพิเศษจากบริษัทร่วม PT Chandra Asri Petrochemical (CAP) ที่มีกำไรจากการเข้าซื้อกิจการในสิงคโปร์จำนวน 7,044 ล้านบาท และกำไรจากการซื้อหุ้นกู้คืนจำนวน 4,067 ล้านบาท หลังจากไทยออยล์ได้ไถ่ถอนหุ้นกู้จำนวน 633 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20,894 ล้านบาท ตามแผนการลดหนี้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทไทยออยล์อนุมัติโครงการ Asset Monetization เพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านรูปแบบการให้เช่าและเช่ากลับ (Lease & Leaseback) ของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถังเก็บน้ำมัน ทุ่นผูกเรือกลางทะเลและสถานีจ่ายน้ำมันทางรถซึ่งช่วยเพิ่มกระแสเงินสดเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะยาว
“สำหรับภาพรวมของไตรมาส 4/68 ไทยออยล์มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการกลับมาเดินเครื่องกลั่นเต็มกำลัง และค่าการกลั่นที่ทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มตึงตัว การบริหารความเสี่ยงและฐานะการเงินที่ดีขึ้นจะช่วยให้ไทยออยล์มีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2569
ส่วนแผนการลงทุนในอนาคต ไทยออยล์และบริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2572 เป็นจำนวน 1,736 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นโครงการพลังงานสะอาด (CFP) 1,538 ล้านดอลลาร์สหรัฐและโครงการอื่นๆของบริษัทฯที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 198 ล้านดอลลาร์สหรัฐ”” นายบัณทิต กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 พ.ย. 68)





