
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ (13 พ.ย.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์ ที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 51,166.78 จุด เพิ่มขึ้น 103.47 จุด หรือ +0.20% ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ระดับ 4,017.94 จุด เพิ่มขึ้น 17.80 จุด หรือ +0.4% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ระดับ 26,766.71 จุด ลดลง 156.02 จุด หรือ -0.58%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ขยับขึ้น 0.1% ส่วนดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียร่วงลง 1.01%
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าดีดตัวขึ้น หลังจากปธน.ทรัมป์ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายงบประมาณชั่วคราวในช่วงค่ำวันพุธ (12 พ.ย.) ตามเวลาสหรัฐฯ หรือในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย เพื่อยุติการปิดหน่วยงานของรัฐบาลที่กินเวลานานถึง 43 วัน
การลงนามดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีมติด้วยคะแนนเสียง 222 ต่อ 209 ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันเดียวกัน เพียง 2 ชั่วโมงก่อนที่จะส่งให้ปธน.ทรัมป์ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย
อย่างไรก็ดี ดัชนีตลาดหุ้นออสเตรเลียร่วงลง หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) เปิดเผยในวันนี้ตัวเลขจ้างงานเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 42,200 ตำแหน่ง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในเดือนก.ย.ที่เพิ่มขึ้นเพียง 12,700 ตำแหน่ง และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 20,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราว่างงานเดือนต.ค. ลดลงแตะระดับ 4.3% จากระดับ 4.5% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี นอกจากนี้ อัตราว่างงานเดือนต.ค.ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.4%
ข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งเกินคาดทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า โดยนักลงทุนในตลาดการเงินคาดการณ์ว่ามีโอกาสราว 1 ใน 3 ที่ RBA จะปรับลดดอกเบี้ยภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า ซึ่งลดลงจากระดับ 3 ใน 4 ก่อนที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลแรงงาน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ย. 68)





