นายใหญ่ SPALI แชร์ไอเดีย 11 ข้อเสนอพลิกประเทศดัน GDP โต 5% ต่อเนื่อง 15 ปี หลุดพ้นกับดักความจน

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการ บมจ.ศุภาลัย [SPALI] เสนอแนะแนวทางผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนว่า ประเทศไทยเราควรมีการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่เพียงแต่ให้มากกว่า 5% ต่อปี แต่ต้องให้เติบโตในอัตรานี้ต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 15 ปีด้วย เพื่อให้รายได้คนไทยเฉลี่ยประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 37,000 บาทต่อเดือนใกล้เคียงกับมาเลเซียในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงเป็นเพียงประมาณหนึ่งในสามของรายได้คนไต้หวัน และเกาหลีใต้ ในปัจจุบันเท่านั้น

“เราอยากเห็นคนไทยเลิกจน ใช่ไหม ? เราอยากเห็นประเทศไทยก้าวข้ามกับดักความยากจนไปสู่ประเทศพัฒนาที่ไร้คนจน ซึ่งต้องควบคู่กับนโยบายการกระจายรายได้ที่ดีด้วย หลายๆ คนบอกว่าประเทศไทยกำลังจมปลัก ถอยหลังเข้าคลอง จากที่เศรษฐกิจเคยโตเกิน 5% ต่อปี เดี๋ยวนี้เหลือ 2% หลายๆ คนบอกว่ามองไม่เห็นอนาคต แล้วเราจะมีวิธีอย่างไร ?”

นายประทีป ยกตัวอย่างประเทศที่ GDP Growth ย้อนหลัง 10 ปี ที่โตประมาณ 5% ต่อปี ได้แก่:

– Singapore: 6.92%

– Vietnam: 6.20%

– China: 5.79%

– Hong Kong: 5.48%

– Philippines: 5.20%

– Malaysia: 4.90%

ขณะที่ประเทศไทยมีขนาด GDP ล่าสุดปีละประมาณ 18,579 ล้านล้านบาท ถ้าจะให้ GDP โต 5% ต่อปี ก็คือ มูลค่า 928,950 ล้านบาทต่อปี ล่าสุดเราจะทำได้แค่เพียงประมาณ 2% ต่อปี คือ 371,580 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทำเพิ่มอีก 557,370 ล้านบาทต่อปี

ประเทศที่มี GDP Growth โตเกิน 5% ต่อปี เขามีวิธีทำกันอย่างไรบ้าง จีน ใช้วิธีการลงทุนพัฒนาสาธารณูปโภคสาธารณูปการต่างๆจำนวนมาก รวมทั้งการสร้างเมืองใหญ่ Shenzhen ในยุค 80, Pudong ในยุค 90 เอื้ออำนวยให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ป้องกันภัยพิบัติได้ดีขึ้นสะดวกสบายมากขึ้น และสร้างงานต่างๆ เพิ่มมาก ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก การมีรถไฟความเร็วสูงและระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นการสานสายใยให้ลูกหลานชนบทที่ไปทำงานในเมืองใหญ่ติดต่อและกลับไปเยี่ยมครอบครัวได้ง่ายขึ้นมาก

สิงคโปร์ ใช้วิธีการลงทุนในสถาปัตยกรรมและสิ่งแวดล้อมที่เริ่มตั้งแต่ที่อยู่อาศัยเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของครอบครัวและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต่อเนื่องด้วย Opera House สนามกีฬายักษ์, Entertainment Complex, Gardens by the Bay, Museum ฯลฯ สร้างจุดขายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการทำตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการเงิน การค้า การลงทุน และความง่ายในการทำธุรกรรมของธุรกิจต่างๆ (Easy of Doing Business) ทำให้ประเทศก้าวหน้าขึ้น เทียบกับประเทศชั้นนำของโลก

UAE พลิกทะเลทรายให้กลายเป็นเมืองใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างผิดหูผิดตาที่ไม่มีใครคิดถึง ด้วยการสร้างนวัตกรรมและสถาปัตยกรรมล้ำสมัย เช่น เมืองกลางทะเล Palm Jumeirah 1 ต่อด้วย Palm Jumeirah 2 ที่ใหญ่กว่าเดิม, อาคารระฟ้า Burj Khalifa, The Grand Mosque, Louvre Museum, Guggenheim Museum เป็นต้น ประกอบกับมาตรการทางภาษีที่จูงใจชาวต่างชาติมาก และเอื้ออำนวยให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยได้ง่าย ฯลฯ

ในเมื่อรัฐบาลไทยต่างๆ ที่ผ่านมาได้พยายามใช้วิธีการต่างๆ ในการเพิ่มรายได้จากการส่งออก และรายได้จากการท่องเที่ยว รวมกันให้มากกว่าการนำเข้า (Export-Import) พยายามกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน (Consumption) พยายามส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (Private Investment) และการลงทุนภาครัฐในด้านต่างๆ (Government Spending) โดยรวมแล้วทำให้เศรษฐกิจโตได้เพียง 2% ต่อปีเท่านั้น

จะมีความหวังมากขึ้น เมื่อหันมาดูจังหวัดหนึ่งของไทยที่มีสถิติการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ในรอบ 10 ปี ที่ระดับ 8.3% ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศมาก คือ “ภูเก็ต” ทั้งนี้ เพราะ “ภูเก็ต” เป็นจังหวัดที่เปิดกว้างมีชาวต่างชาติมาพำนักและทำงาน (ยังไม่นักท่องเที่ยว) ประมาณ 33,068 คน จากประชากรทั้งสิ้น 429,583 คน หรือประมาณ 7.7% หรือประมาณ 5 เท่าเศษ เมื่อเทียบสัดส่วนของชาวต่างชาติทั้งประเทศที่มีเพียง 1.5% ของประชากรทั้งหมด

อนึ่ง ประชากรไทยในจังหวัด “ภูเก็ต” เพิ่มขึ้นมาตลอดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย 1.05% ต่อปีหรือ 11.1% ในรอบ 10 ปีการมีประชากรเพิ่มขึ้น รวมกับนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม ทำให้การอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้นกระจายไปทั่วเกาะการเพิ่มขึ้นของประชากรทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจภูเก็ตเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ประชากรไทยทั้งประเทศกลับค่อยๆ ลดลง

นายประทีป กล่าวว่า จะไม่มีวันเป็นไปได้เลย ถ้าเราไม่คิดใหญ่ และเอาจริง…ถ้าประเทศไทยจะสร้าง Mega Project ที่มีประโยชน์

ที่จะมาเสริมเพิ่ม GDP จะเป็นไปได้ไหม? ที่ผ่านมา รัฐฯ พยายามเข้าลงทุนในสาธารณูปโภคสาธารณูปการต่างๆ แต่ด้วยข้อจำกัดของหนี้ภาครัฐฯ (Public Debt) ต้องไม่เกิน 60% ของ GDP จึงทำให้โครงการดีๆ จำนวนมากต้องถูกระงับการพิจารณาหรือต้องเลื่อนออกไป

ที่จริงแล้วประเทศไทยควรใช้ศักยภาพที่ตั้งของภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ ถ้ารัฐฯ ใช้วิธีการรัฐฯ-ราษฎร์ ร่วมทุน (Public Private Partnership) หรือ PPP โดยใช้เพียงทรัพยากรที่มีอยู่ของรัฐฯ ส่วนใหญ่ คือ ที่ดิน และรัฐฯ ใช้อำนาจที่รัฐมีอยู่ในการออกใบอนุญาตให้สัมปทาน และออกกฎเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้โครงการต่างๆ เป็นไปได้ ก็จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้จำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจประเทศเจริญก้าวหน้า คนมีงานทำมากขึ้นและรายได้ดีขึ้นเรื่องของหนี้สาธารณะก็จะไม่เป็นปัญหาต่อไป เพราะเอกชนเป็นฝ่ายลงทุนค่าก่อสร้างและพัฒนา ส่วนรัฐฯใช้เพียงที่ดินของรัฐฯ ในการร่วมทุน และได้อำนาจรัฐฯในการออกใบอนุญาตสัมปทาน และส่งเสริมการลงทุนเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น

1. ยกระดับกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นศูนย์กลางการเงิน การลงทุนการค้า การซื้อขายหลักทรัพย์ข้ามประเทศต่างๆ ปัจจุบันศักยภาพของ กทม.ใกล้เคียงกับสิงคโปร์และฮ่องกงแล้ว ไม่ได้ต่างกันมากเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่บริษัทข้ามชาติต่างๆ ยังคงเกาะกลุ่มกันใน 2 เมืองดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาทางสิงคโปร์และฮ่องกง จูงใจตั้งอัตราภาษีต่ำกว่าไทยอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการทำธุรกรรม การจดทะเบียนตลอดจนการอนุมัติวีซ่าสำหรับคนต่างชาติ ที่ง่ายกว่า

ถ้า กทม.กลายเป็นศูนย์กลางการเงิน การลงทุน การค้า การซื้อขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศชั้นแนวหน้าอีกแห่งหนึ่งของโลกและได้ประโยชน์มหาศาลจากการมาตั้งบริษัทฯคนต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถจะมาทำงานระยะยาวแทนที่จะพักเพียงไม่กี่วันเหมือนนักท่องเที่ยวชั่วคราว เพราะ “กรุงเทพฯ”ยังมีข้อดีหลายหลายเรื่องที่สิงคโปร์และฮ่องกงไม่มี คือ สะดวกสบายกว่า ผู้คนเป็นมิตรมากกว่า และค่าใช้จ่ายการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตคุ้มค่ามากกว่า

แต่สิ่งที่เราต้องปรับปรุงแก้ไขคือระบบราชการที่เข้มงวดกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องการเอกสารประกอบจำนวนมาก ใช้เวลา ขออนุญาตนานกว่าชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย ต้องไปรายงานตัวทุกๆ 3 เดือน เป็นต้น สิ่งที่ชาวต่างชาติเรียกร้อง คือการยืดระยะเวลาการเช่าหรือทรัพย์อิงสิทธิจาก 30 ปี เป็น 90 ปีและการใช้มาตรการทางภาษีจูงใจมากขึ้น ให้มากขึ้นเทียบเท่า Singapore และ UAE

วิธีการเพียงแค่ออกมาตรการจูงใจส่งเสริมที่ดีพอและประกาศให้ทั่วโลกรับรู้ เพราะปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ค่อนข้างพร้อมอยู่แล้วสิ่งสำคัญต้องยกเลิกระบบราชการที่ยังมีขั้นตอนซับซ้อนและใช้เวลานาน เราจำเป็นต้องปฏิรูปขนาดใหญ่ ถ้าเอาจริง ใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็พอแล้วในการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออก ให้เหลือเท่าที่สิงคโปร์ใช้อยู่ถ้าโครงการนี้ จูงใจให้ชาวต่างชาติมืออาชีพมาอยู่และทำงานในไทยได้ปีละ 10,000 คน คนหนึ่งๆ ใช้ประมาณ 4ล้านบาทต่อปี เราจะได้รายได้ประมาณ 40,000 ล้านบาท

2.การสร้างเขื่อนกั้นป่าแม่น้ำเจ้าพระยา+ช่องจอดเรือพร้อมประตูปรับระดับน้ำสำหรับเรือเข้าออกเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพมหานครและจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ในกรณีที่น้ำทะเลหนุนทำให้น้ำท่วมในช่วงน้ำหลาก แต่ละครั้งเสียหายหลายหมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่รัฐต้องเสียเงินเยียวยาและเสียเวลาช่วยเหลือราษฎรที่เสียหายมากมายครั้งแล้วครั้งเล่าและตั้งงบลงทุนทำเขื่อนกันน้ำต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ยังไม่มีการดำริสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมจากทะเลหนุนแต่อย่างใด เงินลงทุนโครงการนี้ใช้เงินไม่มาก สามารถทำได้ในวงเงิน 10,000-20,000 ล้านบาท แล้วแต่เราจะทำขนาดใหญ่-เล็ก และต้องการได้ที่ดินในทะเลบางส่วนมาเพิ่มเพื่อปลูกสร้างอาคารหรือไม่

3. โครงการ Southern Seaboard และ Land Bridgeมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น

– ท่าเรือน้ำลึกระนอง, ชุมพร 636,477 ล้านบาท

– ระบบขนส่ง ถนนและราง 220,000 ล้านบาท

– ระบบขนส่ง สินค้าระหว่างท่าเรือ 140,000 ล้านบาท

ปัจจุบันไทยเรายังมีรถบรรทุกและขบวนรถไฟที่ขนส่งสินค้าไปส่งออกที่ท่าเรือปีนัง เพราะเราไม่มีท่าเรือน้ำลึกฝั่งตะวันตกที่ควรมี โครงการนี้คือการใช้ศักยภาพทางของภูมิศาสตร์ของไทยที่ประเทศอื่นๆ ไม่มีให้เป็นประโยชน์ ถ้าแล้วเสร็จ จะสร้างคุณูปการต่างๆ มหาศาลต่อการส่งออก เกิดการจ้างงานจำนวนมาก ทำให้ภาคใต้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก และทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลระหว่างตะวันออกกับตะวันตกแทนที่สิงคโปร์ บางคนบอกว่าโครงการนี้ไม่คุ้มเพราะระยะทางและเวลาอ้อมใต้แหลมมลายูไม่มากนัก ที่จริงคนที่จะบอกว่าเป็นไปได้หรือไม่คือผู้ลงทุนที่เราเชื้อเชิญมาจากทั่วโลก เพียงแต่เราถ้าจะยืดหยุ่นเรื่องจำนวนปีการให้สัมปทานหรือยอมให้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมควบคู่กันไป ก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้นโครงการนี้ ถ้าใช้เวลาสร้าง 10 ปี แค่เพียงในช่วงก่อสร้างก็จะเกิดมูลค่าการลงทุนเพิ่มอีกปีละ 100,000 ล้านบาท

4. การสร้างสะพานข้ามอ่าวไทยจากเกาะสีชังไปยังประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปเชื่อมกับ Southern Seaboard ความยาวเพียง 100 กิโลเมตร ซึ่งการก่อสร้างง่ายกว่าและค่าก่อสร้างน่าจะถูกกว่าการสร้างสะพานและอุโมงค์ใต้ทะเลจากฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ที่ใช้เงินเกือบ 6 แสนล้านบาทมาก และจะยกระดับศักยภาพการคมนาคมภายในประเทศ ตลอดการขนส่งสินค้าจาก EEC ไปลงเรือที่ท่าเรือฝั่งตะวันตกสะดวกรวดเร็วมากขึ้น เป็นการเสริม Southern Seaboard และ Land Bridge ให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้น และจะช่วยให้การส่งออกของไทยดียิ่งขึ้น

5. รถไฟความเร็วสูง โครงการแรกจาก กรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย ค่าก่อสร้าง กรุงเทพฯ-โคราช 179,413 ล้านบาท ค่าก่อสร้าง โคราช-หนองคาย 341,351 ล้านบาท รวมเป็นเงิน ประมาณ 520,000 ล้านบาท โครงการนี้ ใช้เวลานานมากกว่าที่ควรไปหลายเท่าตัว เพราะรัฐคิดลงทุนเอง และตัดสินใจช้า ทำให้เงินที่ลงไปยังไม่เกิดประโยชน์สมควรที่จะเร่งจัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์

เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง และเอื้อประโยชน์ให้การส่งออกได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรจะชักชวนนักลงทุนเอกชนจากทั่วโลกมาลงทุนพัฒนาสร้างสายใต้เชื่อมต่อกับมาเลเซียและสิงคโปร์และสายเหนือไปยังเชียงใหม่ เชียงราย ความเจริญก็จะกระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และทั่วถึง
อนึ่ง เราควรส่งเสริมการลงทุน โดยปรับเงื่อนไขให้จูงใจพอ เช่น ระยะเวลาสัมปทานโครงการและการเอื้อให้พัฒนาเชิงพาณิชย์รอบสถานีต่างๆ เป็นต้น จะทำให้โครงการเหล่านี้เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น

6. สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) โดยไม่จำเป็นต้องมีคาสิโนไว้ในโครงการก็ได้ สวนสนุก Amusing Park

ขนาดใหญ่ต่างๆ ตัวอย่าง เช่น Disney World, Universal Studios, Gardens by the Bay ของ Singapore ที่เป็นทั้งที่พักผ่อนหย่อนใจและได้เรียนรู้ด้วย เป็นต้น ถ้ามี 3 แห่ง แต่ละแห่งมูลค่า 10,000 ล้านบาท ก็จะได้เงินลงทุน 30,000 ล้านบาท+รายได้ตามหลังจากการบริหารอีก

7. สนามกีฬาขนาดใหญ่, Concert Hall, Performing Arts Center ส่งเสริมการลงทุนให้สร้างในเมืองใหญ่ทุกภาคทั่วประเทศเพื่อยกระดับศักยภาพการกีฬา ให้เป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น โอลิมปิกได้ และเพื่อดึงดูดการแสดงระดับโลก เช่น ตัวอย่างการจัด

Concert ของ Taylor Swift ที่สิงคโปร์ เป็นต้น เราสามารถจัดเป็นโครงการส่งเสริมการลงทุนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เกิดมูลค่าการลงทุนได้เป็นหลักหลาย หมื่นล้านบาท

8. พิพิธภัณฑ์ต่างๆ, ศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ โรงงานกำจัดขยะ โรงงานทำปุ๋ย อุตสาหกรรมที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม

เกษตร อาหาร การแพทย์+ สุขภาพ ฯลฯ ส่งเสริมให้เอกชนสร้างทั่วประเทศ ถ้าแต่ละแห่งมูลค่า 500 ล้านบาท ถ้ามีจำนวน 100 แห่ง ก็จะเป็นมูลค่าการลงทุน 50,000 ล้านบาท

9. ส่งเสริมบ้านผู้มีรายได้น้อยและปานกลางค่อนข้างน้อย ถ้ารัฐฯ ใช้มาตรการส่งเสริมที่อาศัยหลังยุค “ต้มยำกุ้ง” ด้วยการลดภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ 0.11% ค่าธรรมเนียมจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดจำนอง จาก 1% เหลือ 0.01% รวมเป็นส่วนลด 6.17% มาส่งเสริมให้คนรายได้น้อยและรายได้ปานกลางค่อนข้างน้อยในรูปบ้านจัดสรรหรือคอนโดฯ ที่มีมูลค่าหน่วยละ 1 ถึง 2 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อหน่วยละ 1.5 ล้านบาท

10. การส่งเสริม ชาวต่างชาติ ให้เข้ามาพำนักในประเทศไทยในระยะปานกลาง-ยาวแทนการส่งเสริมการท่องเที่ยวระยะสั้นๆ ในกรณีต่างๆ ดังนี้ เช่น

– การส่งเสริมให้นักเรียน / นักศึกษาเข้ามาศึกษาหลักสูตรนานาชาติในประเทศไทย ถ้ามีจำนวนปีละ 10,000 ราย ใช้จ่ายปีละ 1,000,000 บาทต่อราย ก็จะเป็นเงินละ 10,000 ล้านบาท

– ส่งเสริมให้ผู้สูงวัยจากประเทศที่รายได้สูงกว่า (โดยเฉพาะประเทศที่มีอากาศหนาว) ย้ายมาเกษียณในประเทศไทย ถ้ามีจำนวนปีละ 10,000 ราย ใช้จ่ายปีละ 1,000,000 บาทต่อราย ก็จะเป็นเงินละ 10,000 ล้านบาท ส่งเสริมให้นักวิชาชีพต่างๆ ทั้ง Digital Technology, Finance, Marketing ที่เราขาดแคลนเข้ามาทำงานในประเทศไทย ถ้ามีจำนวนปีละ 10,000 ราย ใช้จ่ายปีละ 4 ล้านบาทต่อรายก็จะเป็นเงิน ปีละ 40,000 ล้านบาท

– ส่งเสริมให้นักลงทุนประเภทต่างๆ ตั้งแต่ ลงทุนในหลักทรัพย์ เงินตรา อสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนธุรกิจการค้า การบริการ

และอุตสาหกรรมต่างๆ ถ้ามีจำนวนปีละ 10,000 ราย ใช้จ่ายปีละ 10 ล้านบาทต่อราย ก็จะเป็นเงินปีละ 100,000 ล้านบาทต่อปี

11. การส่งเสริมและนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตามการวิจัยของ UNCTAD ว่า ประเทศกำลังพัฒนาถ้าดึงเศรษฐกิจนอกระบบ ที่มีถึงเกือบร้อยละ 50 ของทั้งหมด เข้าสู่ระบบเพียงบางส่วน อาจทำให้ GDP โตขึ้นได้ตามส่วน 1-2% ต่อปี

“ประเทศไทยมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกวาระหนึ่ง ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศเริ่มจนเรื้อรังที่ขุนไม่ขึ้น จริงหรือ ?

มีใครบ้างที่อยากเห็นประเทศไทยของเราถูกประเทศอาเซียนอื่นๆ ทิ้งห่างไปเรื่อยๆ ช่วงเวลานี้ เราต้องการ Mega Project ที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้ช่วยฉุดกระชากประเทศไทยให้รุดหน้า โดยไม่เพิ่มภาระหนี้ภาครัฐฯ ข้อเสนอต่างๆ ข้างต้น ที่คิดขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่างให้รัฐบาลและพรรคการเมืองต่างๆ นำไปพิจารณา นำไปต่อยอด”นายประทีป ระบุ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ธ.ค. 68)