
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จัดประชุมร่วมกับผู้นำสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) และรวันดาในกรุงวอชิงตันเมื่อวันพฤหัสบดี (4 ธ.ค.) เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงสันติภาพที่มีเป้าหมายยุติความขัดแย้งยาวนานหลายสิบปีในพื้นที่ตะวันออกของคองโก พร้อมทั้งเปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญของภูมิภาค
เฟลิกซ์ ชิเซเคดี ประธานาธิบดี DRC และพอล คากาเม ประธานาธิบดีรวันดา ได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพในพิธีที่จัดขึ้น ณ สถาบันสันติภาพสหรัฐฯ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “สถาบันสันติภาพ โดนัลด์ เจ. ทรัมป์” ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งวัน
พื้นที่ตะวันออกของ DRC อยู่ในภาวะความขัดแย้งต่อเนื่องมายาวนาน และทวีความรุนแรงขึ้นจากการกลับมาของกลุ่มกบฏ M23 ตั้งแต่ปลายปี 2564 โดยทางการคองโกกล่าวหารวันดาว่าให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏ แต่รวันดาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
ระหว่างพิธีลงนาม ทรัมป์ยังประกาศข้อตกลงทวิภาคีกับทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้บริษัทสหรัฐฯ เข้าถึงแหล่งแร่ธาตุสำคัญในภูมิภาค โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะส่งบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศเข้าไปดำเนินงานในทั้งสองชาติแอฟริกา
ในช่วงเช้าวันเดียวกัน ทรัมป์ได้พบปะกับผู้นำทั้งสองประเทศแยกกันที่ทำเนียบขาว
เมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศของ DRC และรวันดาเคยลงนามในข้อตกลงสันติภาพอีกฉบับที่กรุงวอชิงตัน
ขณะเดียวกัน กองทัพ DRC และกบฏ M23 ต่างกล่าวหากันเมื่อวันอังคาร (2 ธ.ค.) ว่ามีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่ตะวันออกของประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายต่างโทษกันว่าก่อเหตุโจมตีครั้งใหม่ แม้มีความพยายามไกล่เกลี่ยจากประชาคมระหว่างประเทศก็ตาม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ธ.ค. 68)





