
สหรัฐฯ เดินหน้าคุมเข้มการคัดกรองผู้เดินทาง โดยเสนอให้ผู้เข้าประเทศต้องส่งประวัติการใช้งานโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปี ครอบคลุมประเทศที่อยู่ในโครงการยกเว้นวีซ่าราว 40 ประเทศ รวมถึงออสเตรเลีย เยอรมนี ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร ซึ่งสามารถพำนักในสหรัฐฯ ได้ไม่เกิน 90 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า
ข้อเสนอนี้ปรากฏในประกาศของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (10 ธ.ค.) ที่ระบุว่า สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนได้เพิ่มข้อมูลโซเชียลมีเดียเป็นข้อมูลบังคับในระบบคัดกรองผู้เดินทางภายใต้โครงการยกเว้นวีซ่า โดยเปิดให้ร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 60 วัน
มาตรการใหม่นี้ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งจำกัดการเดินทางเข้าประเทศ โดยก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เพิ่งประกาศเตรียมห้ามนักเดินทางจากราว 30 ประเทศหลังเกิดเหตุยิงเจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์ชาติ 2 นายในกรุงวอชิงตัน โดยผู้ต้องสงสัยเป็นชาวอัฟกันที่เคยร่วมงานกับกองกำลังสหรัฐฯ และซีไอเอในอัฟกานิสถาน และเดินทางเข้าสหรัฐฯ เมื่อปี 2564
เหตุการณ์ดังกล่าวถูกทรัมป์และพันธมิตรใช้โจมตีรัฐบาลไบเดนว่าปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยเดินทางเข้าประเทศ พร้อมผลักดันให้จำกัดการอพยพเข้มงวดกว่าเดิม โดยทรัมป์ประกาศว่าจะผลักดันให้ระงับการย้ายถิ่นฐานจากประเทศโลกที่สามทั้งหมดแบบถาวร
นอกจากนี้ สำนักงานบริการด้านสัญชาติและตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ยังระบุว่าจะเริ่มทบทวนครั้งใหญ่เกี่ยวกับการอนุมัติให้ผู้เดินทางจากประเทศโลกที่สามที่เข้ามาตั้งแต่ต้นวาระรัฐบาลไบเดนในปี 2564 ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในเดือนนี้ได้ขยายการตรวจสอบโซเชียลมีเดียสำหรับผู้สมัครวีซ่า H-1B และแนะนำให้ผู้สมัครรวมถึงผู้ติดตามปรับค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีโซเชียลมีเดียทั้งหมดเป็นสาธารณะ ส่วนในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้สั่งให้ตรวจสอบประวัติการใช้งานโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่านักศึกษาเช่นเดียวกัน
ด้านการท่องเที่ยวนั้น สหรัฐฯ กำลังเผชิญภาวะลดลงทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ โดยข้อมูลจากเดือนพ.ค. ชี้ว่า สหรัฐฯ อาจสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยว 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 ขณะที่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวปลายปีคาดว่าจะลดลงต่ำกว่า 1.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะอยู่ที่ 67.9 ล้านคน ลดลงจาก 72.4 ล้านคนในปี 2567 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบราว 5 ปี
ผลการศึกษาของสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลกและออกซฟอร์ด อีโคโนมิกส์ระบุว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวจาก 184 ประเทศที่คาดว่าจะสูญเสียรายได้ท่องเที่ยวในปีนี้ โดยมีปัจจัยจากข้อจำกัดการเดินทางยุคโควิดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า และทัศนคติของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปจากถ้อยแถลงและนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของรัฐบาลทรัมป์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ธ.ค. 68)





