
นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป [EPG] เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทยังมั่นใจเติบโตได้ตามเป้าหมาย แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี รวมถึงความเข้มงวดของสินเชื่อรถยนต์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีบัญชี 68/69 (เม.ย.68-มี.ค.69) จะสามารถรักษาระดับยอดขายที่ 13,800-14,000 ล้านบาท เติบโตทรงตัวจากปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นที่ 30-33%
ส่วนค่าเงินบาทแข็งค่า ในปัจจุบัน บริษัทเน้นการทำ Natural Hedging เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ แม้จะทำให้เห็นตัวเลขขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX Loss) ในบางช่วง แต่ฝั่งของต้นทุนทางการเงินก็จะลดลง ขณะเดียวกันในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า บริษัทเลือกที่จะไม่โอนเงินกลับไทย แต่ใช้วิธีนำเงินรายได้ในต่างประเทศไปลงทุนต่อทันที เพื่อเลี่ยงการขาดทุนจากการแปลงสกุลเงิน
สำหรับความร่วมมือกับสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเหล้าธนบุรี (KMUTT) ในการพัฒนาระบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation) ซึ่งเป็น AI ขั้นสูงมาใช้บริหารจัดการในองค์กร โดยระบบดังกล่าวจะถูกนำมาใช้กับ AEROKLAS ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทกว่า 50% เป็นบริษัทนำร่อง ซึ่งคาดว่าระบบจะพัฒนาเสร็จสิ้นภายในส.ค.69 หากระบบประสบความสำเร็จจะนำไปใช้กับกลุ่มบริษัทอื่น ๆ ในเครือ เพื่อสนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 30-33%
“บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและ การบริหารจัดการข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการยกระดับองค์ความรู้ภายในองค์กรให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย ถูกต้องและนำไปใช้สนับสนุนการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือกับ FIBO ในครั้งนี้ เป็นการวางรากฐาน เชิงกลยุทธ์ให้กับ EPG สามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้ได้จริง ในกระบวนการทำงาน เพื่อเพิ่มความสามารถ และรองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดย EPG ได้มอบหมายให้ AEROKLAS ทำหน้าที่เป็นบริษัทนำร่องในการพัฒนาและใช้งานระบบ RAG เพื่อให้พนักงานสามารถค้นหาและใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ ในเอกสาร คู่มือ วิดีโอการอบรม งานวิจัย และข้อมูลการผลิตได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ก่อนขยายผลการใช้งานไปยังบริษัทย่อยต่าง ๆ ในกลุ่ม EPG ต่อไป” นายเฉลียว กล่าว
ปัจจุบัน EPG มีบริษัทในเครือ 17 แห่ง และบริษัทร่วมทุนอีก 7แห่ง กระจายในหลายประเทศ การพัฒนาระบบ RAG จะทำให้การดำเนินงานของทั้งกลุ่มบริษัทเดินไปในทิศทางเดียวกัน และการสื่อสารภายในองค์กร รวมทั้งกระบวนการดำเนินงานมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับการลงทุนในโครงการนี้ใช้งบประมาณในระดับ 7 หลัก โดยคาดหวังว่าการนำระบบนี้มาใช้จะช่วยเพิ่มกำไรขั้นต้นจากปัจจุบันที่ 30-33% ให้พุ่งสูงขึ้นเป็น 40% ในบางหน่วยธุรกิจ (BU) หากสามารถบริหารจัดการต้นทุนและการสื่อสารได้มีประสิทธิภาพตามแผน
นายเอกวัฒน์ วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ EPG และกรรมการผู้จัดการ AEROKLAS เปิดเผยว่า การนำระบบ RAG เข้ามาใช้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน ใน 3 มิติหลัก มิติแรก ‘เวลา’ ซึ่งระบบ RAG ช่วยลดระยะเวลาในการค้นหาลงได้ถึง 60-80% มิติที่สอง ประสิทธิภาพการทำงาน คาดการณ์ว่า จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม ประมาณ 20-25%
และมิติสุดท้ายที่มองข้ามไม่ได้ คือ ‘การบริหารต้นทุน’ ระบบ RAG จะเข้ามาช่วยลดภาระงานในลักษณะงานประจำวัน (Routine Tasks) ซึ่งในระยะสั้นคาดหวังการลดต้นทุนการดำเนินงานลงได้ 10-15% และหากมองไปในระยะกลาง เมื่อระบบเข้าที่และพนักงานใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งเป้าหมายที่จะลดต้นทุนลงให้ได้ถึง 20-30% ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันให้กับ AEROKLAS อย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว
ผศ.มณฑิรา นพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายอุตสาหกรรมและภาคีความร่วมมือ KMUTT เปิดเผยว่า ระบบ RAG ที่พัฒนาขึ้นถูกออกแบบบนสถาปัตยกรรมแบบ micro services ประกอบด้วย Flutter Web Application สำหรับส่วนหน้าที่ใช้งานง่าย Milvus Vector Database สำหรับการจัดเก็บและค้นหาข้อมูลเชิงลึก n8n Workflow Engine สำหรับการจัดการกระบวนการทำงานอัตโนมัติ และ Google Gemini 2.0 Flash API สำหรับการประมวลผลภาษาธรรมชาติขั้นสูง ทั้งหมดทำงานร่วมกับระบบ Single Sign-On ที่มีอยู่เดิม และมีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลในระดับองค์กรด้วยการเข้ารหัสแบบ AES-256
โครงการนี้จะช่วยเปลี่ยนองค์ความรู้ภายในองค์กรให้กลายเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม และเสริมสร้างความพร้อมให้ EPG สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
ความร่วมมือกับ EPG เปิดโอกาสให้ KMUTT และ FIBO ได้นำองค์ความรู้ทางวิชาการไปพัฒนานวัตกรรมที่ใช้งานได้จริงในภาคอุตสาหกรรม พร้อมสร้างกรณีศึกษาเชิงลึกสำหรับการพัฒนาบุคคลากร งานวิจัย และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับประเทศ ผศ.ดร.มณฑิรา กล่าว
นายวุฒิชัย วิศาลคุณา รองผู้อำนวยการฝ่ายบริการวิชาการ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดเผยว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในระดับองค์กรจริง ซึ่งช่วยยกระดับชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของสถาบันฯ ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมโดยการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยฯ ยังได้รับองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล รวมถึงการออกแบบและบริหารจัดการเวิร์กโฟลว์ที่มีความซับซ้อน โดยได้นำผลการทดสอบประสิทธิภาพของระบบด้วยตัวชี้วัดคุณภาพคำตอบ อาทิ ความถูกต้องตามหลักฐาน (Faithfulness) และความตรงประเด็นของคำตอบ (Answer Relevancy) มาเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการวิจัยและต่อยอดนวัตกรรม AI ที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ธ.ค. 68)





