ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้ออกมาขานรับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ที่ได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมรอบที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวานนี้ โดยปธน.ทรัมป์กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยปกป้องแรงงานในอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐได้หลายหมื่นตำแหน่ง

ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยผ่านการทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า “ในที่สุดกลุ่มโอเปกพลัสก็สามารถบรรลุข้อตกลงครั้งใหญ่ ซึ่งจะช่วยปกป้องแรงงานในอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐได้หลายหมื่นตำแหน่ง ผมขอบคุณและขอแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย และสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด แห่งซาอุดีอาระเบีย ผมได้มีโอกาสพูดคุยทางไกลร่วมกับทั้งสองท่าน และในที่สุดพวกเขาก็สามารถทำข้อตกลงกันได้”
The big Oil Deal with OPEC Plus is done. This will save hundreds of thousands of energy jobs in the United States. I would like to thank and congratulate President Putin of Russia and King Salman of Saudi Arabia. I just spoke to them from the Oval Office. Great deal for all!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) April 12, 2020
ทั้งนี้ โอเปกพลัส ได้บรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการประชุมฉุกเฉินรอบที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวานนี้ โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ไปจนถึงสิ้นเดือนมิ.ย.
นอกจากนี้ กลุ่มโอเปกพลัสยังมีมติปรับลดการผลิต 8 ล้านบาร์เรล/วันตั้งแต่เดือนก.ค.ไปจนถึงสิ้นปี 2563 และจะปรับลด 6 ล้านบาร์เรล/วันตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 ไปจนถึงเดือนเม.ย. 2565
มติดังกล่าวมีขึ้นในการประชุมฉุกเฉินซึ่งจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 12 เม.ย. และนับเป็นการประชุมรอบที่ 2 หลังจากที่โอเปกพลัสได้จัดการประชุมเบื้องต้นเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยในการประชุมวันดังกล่าว ที่ประชุมได้ข้อตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 10 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนพ.ค.-มิ.ย. แต่เนื่องจากในขณะนั้น เม็กซิโกได้ปฏิเสธที่จะทำตามข้อเรียกร้องของโอเปกพลัสที่ต้องการให้เม็กซิโกปรับลดกำลังการผลิต 400,000 บาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ดี ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ เม็กซิโกยินยอมที่จะปรับลดกำลังการผลิต 100,000 บาร์เรล/วัน
ทั้งนี้ การประกาศลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสมีเป้าหมายที่จะสกัดการร่วงลงของราคาน้ำมัน หลังจากที่ราคาน้ำมันได้ทรุดตัวลงตามอุปสงค์น้ำมันที่ลดลงทั่วโลก อันเนื่องมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 เม.ย. 63)