
หุ้น AOT ราคาร่วง 5.04% มาอยู่ที่ 28.25 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 772.29 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.07 น. โดยเปิดตลาดที่ 29.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 29.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 27.75 บาท
บมจ.ท่าอากาศยานไทย [AOT] หรือ ทอท.เปิดเผยว่า ฝ่ายบริหารของ ทอท.จะนำแนวทางการแก้ปัญหาเข้าหารือกับคณะกรรมการ ทอท.ในการประชุมช่วงบ่ายวันนี้ กรณีบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้มีหนังสือมาเรื่องสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในสนามบิน เบื้องต้นฝ่ายบริหารจะตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์แนวทางเพื่อเจรจา และจ้างที่ปรึกษาที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ไขปัญหา
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดธุรกิจดิวตี้ฟรีจะเปลี่ยนมาใช้โมเดลแบ่งรายได้ โดยบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้ยื่นขอให้ AOT เจรจาทบทวนสัญญาธุรกิจดิวตี้ฟรี 3 ฉบับใหม่ ครอบคลุมสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และ สนามบินภูมิภาค โดยในมุมมองของเราคาดว่าการที่สัญญาใช้รูปแบบแบ่งรายได้ในอัตรา 20% จะยังทำให้ KPD สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีกำไร แม้จะยังอยู่ในช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากจีน ฟื้นตัวได้ช้า
ขณะเดียวกัน AOT น่าจะมองหารายได้ทางเลือกอื่นเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากธุรกิจดิวตี้ฟรี ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร (PSC) การเพิ่มค่าธรรมเนียมสัมปทานของผู้ให้บริการขนส่งภาคพื้นดิน หรือการเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้โดยสารที่เปลี่ยนเที่ยวบินหรือต่อเครื่อง
ปรับคำแนะนำหุ้น AOT จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” เนื่องจากประเด็นกับ KPD มีแนวโน้มจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ราคาหุ้นที่ปรับลดลงกว่า 50% ตั้งแต่ต้นปีได้สะท้อนความเสี่ยงไปในระดับหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ เรามีการปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 33.50 บาท จากเดิม 36.50 บาท โดยอิงสมมติฐานว่า KPD จะใช้รูปแบบแบ่งรายได้ 20% สำหรับธุรกิจดิวตี้ฟรีทั้งหมด พร้อมกับปรับลดคาดการณ์จำนวนผู้โดยสาร
ขณะที่ บล.พาย แนะนำให้ “ชะลอ” การลงทุน AOT จนกว่าจะได้รับความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการร้านค้าปลอดภาษี หลังจากทางคิง เพาเวอร์ ทำหนังสือขอปรับสัญญา/ยกเลิกให้บริการร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินภูมิภาค เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าทางคิง เพาเวอร์จะขอปรับเงื่อนไขในสนามบินหลักอย่างสุวรรณภูมิด้วยหรือไม่ เพราะถือเป็นสนามบินที่มีสัดส่วนรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์มากที่สุด โดยเราจะมีการประชุมกับผู้บริหารบ่ายวันนี้ก่อนจะมีการออกรายงานเพิ่มอีกครั้ง
คิง เพาเวอร์ ทำหนังสือแจ้งขอปรับสัญญาร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free shop) ในสนามบินภูมิภาค (เชียงใหม่ ภูเก็ตและหาดใหญ่) โดยให้เวลา AOT พิจารณาภายใน 45 วัน และในเดือน ก.ค. จะขอปรับการจ่ายผลตอบแทนจากเดิมอิงตามรายได้ต่อหัว เป็นส่วนแบ่งรายได้ที่ระดับ 20% สื่อบางสำนักอ้างถึงผู้ว่าการ AOT รักษาการ กล่าวว่า คิง เพาเวอร์ อยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองด้วย
ในปี 67 รายได้รวมของ AOT จาก King Power อยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาท (โดยประมาณ 16,500 ล้านบาทมาจากสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง และประมาณ 1,500 ล้านบาทจากสนามบินภูมิภาค) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 27% ของรายได้หลักของ AOT เราเชื่อว่าผลกระทบหากพิจารณาเฉพาะสนามบินภูมิภาคในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (การยกเลิกการประมูลและการสูญเสียรายได้ดังกล่าว) จะส่งผลกระทบต่อรายได้ปี 69 ประมาณ 2% และกำไรสุทธิประมาณ 5%
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือสัญญาที่มีมูลค่าสูงที่สนามบินสุวรรณภูมิ หากมีการปรับสัญญาหรือยกเลิกและเปิดประมูลใหม่ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายได้และกำไรสุทธิ เบื้องต้น หากมีการปรับสัญญาที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองด้วย เราประมาณการผลกระทบในปี 69 ประมาณ 11% ของรายได้ และ 29% ของกำไรสุทธิ โดยอิงจากรายได้ปี 66 ของ King Power ที่รายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และปรับตามจำนวนนักท่องเที่ยว 34 ล้านคน (นักท่องเที่ยวปี 66: 28 ล้านคน)
ผลกระทบนี้ทำให้เราคาดว่า AOT จะต้องหาแหล่งรายได้อื่นมาทดแทน เช่น การเปิดประมูลผู้ประกอบการขนส่งสินค้าเพิ่มเติม หรือผู้ให้บริการภาคพื้นดินรายที่สามที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งคาดว่าจะได้ผู้ชนะในเดือนมีนาคม 69
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ AOT กำลังดำเนินการอีกอย่างหนึ่งคือการขอเพิ่มค่าบริการผู้โดยสารขาออก ปัจจุบันอยู่ที่ 130 บาท/คน สำหรับเที่ยวบินในประเทศ และ 730 บาท/คนสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ คาดจะมีความชัดเจนในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ AOT ยังมีแผนจะพิจารณาปรับค่าธรรมเนียมบริการสนามบิน เช่น ค่าจอดรถ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยชดเชยรายได้ส่วนแบ่งที่หายไปจากธุรกิจปลอดภาษี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มิ.ย. 68)