
บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) [FPT] เปิดผลประกอบการรอบ 9 เดือนแรกของปีงบการเงิน 2568 (ต.ค.67 – มิ.ย.68) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีรายได้ 10,336 ล้านบาท ลดลง 81 ล้านบาท หรือ 0.8% มีกำไรสุทธิ 1,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 369 ล้านบาท หรือ 44.6%
ขณะที่ไตรมาส 3/68 (เม.ย.-มิ.ย.68) ทำรายได้ 4,038 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 212 ล้านบาท หรือ 5.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน พร้อมกำไรสุทธิโตทะยานถึง 646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 307 ล้านบาท หรือ 90.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) FPT กล่าวว่า ในไตรมาส 3 บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตของธุรกิจได้เป็นอย่างดีทั้งในส่วนของรายได้และกำไร เป็นผลจากการบริหารจัดการทรัพย์สินในพอร์ตโฟลิโอให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมด้วยการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินทุน เพื่อรักษาเสถียรภาพและคงสภาพคล่องทางการเงิน ภายใต้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นในการรับมือสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย เปิด 3 โครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 4,200 ล้านบาทในทำเลศักยภาพสูงของกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ได้แก่ โกลดีน่า สุขุมวิท – แบริ่ง ซึ่งเป็นทาวน์โฮมระดับพรีเมียมแบรนด์ใหม่ใจกลางกรุงเทพมหานครโซนตะวันออก (East Business District : EBD) รวมถึงโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีทั้งแกรนดิโอ ขอนแก่น–มิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น และแกรนดิโอ โคราช–เทอร์มินอล จังหวัดนครราชสีมา โดยแม้ภาวะตลาดบ้านแนวราบยังเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่บริษัทฯ สามารถปิดยอดพรีเซลล์ของทั้ง 3 โครงการรวมกันได้กว่า 1,000 ล้านบาทภายใน 2 วันหลังเปิดขาย สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีงบการเงิน 2568 (กรกฎาคม – กันยายน 2568) มีแผนเปิดเพิ่ม 2 โครงการใหม่รวมมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม สามารถสร้างอัตราการเช่าเฉลี่ยของพอร์ตโฟลิโอในไทยและต่างประเทศสูงถึง 93% นับเป็นอัตราการเช่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ปัจจัยหลักมาจากความต้องการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้ส่งมอบอาคารคลังสินค้าพื้นที่ประมาณ 24,000 ตร.ม. ให้กับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศเวียดนาม รวมถึงมีกำไรจากการขายที่ดินทั้งในไทยและเวียดนามกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการบริหารจัดการที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ธุรกิจอาคารสำนักงานและรีเทลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราค่าเช่าของการต่อสัญญาใหม่ โดยบริษัทฯ สามารถรักษาอัตราการเช่าในระดับสูงถึง 91% ด้านธุรกิจโรงแรมมีรายได้ปรับตัวลดลงจากผลกระทบจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยลดลง และเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)