
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักร (UK) อย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่สอง ท่ามกลางการต้อนรับอย่างสมเกียรติที่เรียกได้ว่าเป็นการปูพรมแดงอย่างแท้จริง โดยรัฐบาลอังกฤษได้จัดพิธีสวนสนามของทหารอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งนับเป็นพิธีต้อนรับผู้นำต่างชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ทรัมป์ได้กล่าวสดุดีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองชาติ พร้อมระบุว่าการเยือนครั้งนี้ “เป็นหนึ่งในเกียรติยศสูงสุดในชีวิต”
นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ เป็นผู้เชิญทรัมป์มาเยือนด้วยตนเอง เพื่อหวังเอาใจผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชื่นชอบอังกฤษและราชวงศ์เป็นพิเศษ โดยสตาร์เมอร์ตั้งเป้าจะใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์เพื่อผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาล การเจรจาลดภาษี ไปจนถึงการหารือประเด็นร้อนอย่างยูเครนและอิสราเอล
ระหว่างงานเลี้ยงพระราชทาน ณ พระราชวังวินด์เซอร์ ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ย้ำถึงความผูกพันของสองชาติว่า “ในสายตาของอเมริกา คำว่า ‘พิเศษ’ ยังน้อยเกินไป” และ “สายสัมพันธ์ของเรานั้นประเมินค่ามิได้และเป็นนิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้และไม่อาจทำลายลงได้”
รัฐบาลอังกฤษหวังว่าการต้อนรับอย่างอบอุ่นจะช่วยให้บรรลุข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม ซึ่งก็ดูเหมือนจะเริ่มเห็นผล เมื่อกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft), อินวิเดีย (Nvidia), กูเกิล (Google) และโอเพนเอไอ (OpenAI) ประกาศแผนลงทุนในอังกฤษกว่า 3.1 หมื่นล้านปอนด์ (4.2 หมื่นล้านดอลลาร์) ในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัมคอมพิวติ้ง และพลังงานนิวเคลียร์
ขณะเดียวกัน นายกฯ สตาร์เมอร์ต้องการเดินหน้าเจรจาการค้าเพิ่มเติม เพื่อขอลดภาษีสินค้าสำคัญอย่างเหล็กกล้า วิสกี้ และปลาแซลมอน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ก็ทรงช่วยสนับสนุนเรื่องนี้ โดยตรัสในงานเลี้ยงว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราสามารถไปได้ไกลกว่านี้ ในขณะที่เราสร้างยุคใหม่แห่งความร่วมมือของเรา”
แต่การมาเยือนของทรัมป์ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะแม้จะมีผู้สนับสนุนมาให้กำลังใจ แต่ก็มีชาวอังกฤษหลายพันคนออกมาชุมนุมประท้วง ขณะที่ตัวนายกฯ สตาร์เมอร์เองก็กำลังเผชิญปัญหารอบด้าน ทั้งคะแนนนิยมที่ตกต่ำและเศรษฐกิจที่ซบเซา เขาจึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า การใช้ “ไพ่ราชวงศ์” ครั้งนี้จะคุ้มค่า
ทรัมป์ยังอาจต้องเผชิญคำถามที่น่าอึดอัดใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับ เจฟฟรีย์ เอปสตีน อาชญากรทางเพศผู้ล่วงลับ ประเด็นนี้ยิ่งน่าจับตา เพราะเมื่อไม่นานมานี้สตาร์เมอร์เพิ่งปลดทูตอังกฤษประจำกรุงวอชิงตันออกจากตำแหน่งฐานพัวพันกับเอปสตีน ซึ่งอาจทำให้ทั้งสองผู้นำต้องเผชิญคำถามที่ตอบได้ยาก
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลอังกฤษเตรียมจะประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ทันทีที่ทรัมป์เดินทางกลับ ซึ่งเป็นนโยบายที่สหรัฐฯ คัดค้านมาตลอด และอาจทำให้บรรยากาศการหารือตึงเครียดขึ้นได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ย. 68)